ราคาน้ำมันดิบพุ่ง หลังทรัมป์โจมตีอิหร่าน จับตาช่องแคบฮอร์มุซ
ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น น้ำมันดิบเบรนท์พุ่งสูงเกิน 80 ดอลลาร์ หลังจากทรัมป์โจมตีอิหร่าน หวั่นอิหร่านอาจจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ และให้ฮูตีในเยเมนโจมตีเรือในทะเลแดง
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (23 มิ.ย.68) ว่า ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นหลังจากที่สหรัฐ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์สามแห่งหลักของอิหร่าน และขู่ว่าจะโจมตีอีกครั้ง ส่งผลให้วิกฤติในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น และเกิดความกังวลว่าอุปทานพลังงานจากภูมิภาคนี้อาจหยุดชะงักลง
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของโลกพุ่งขึ้นถึง 5.7% สู่ระดับ 81.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเช้าวันจันทร์นี้ เป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ก่อนย่อลง
ในสุนทรพจน์สุดสัปดาห์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ กล่าวว่าการโจมตีทางอากาศได้ "ทำลายล้าง" เป้าหมายทั้งสาม และขู่ว่าจะใช้กำลังทหารมากขึ้นหากอิหร่านไม่เจรจาสันติภาพ ในการตอบโต้เบื้องต้น เตหะรานเตือนว่าการโจมตีดังกล่าวจะก่อให้เกิด "ผลร้ายที่ตามมาชั่วนิรันดร์"
การโจมตีของสหรัฐ ต่อโรงงานนิวเคลียร์ที่ฟอร์โดว์ นาตันซ์ และอิสฟาฮาน เพิ่มความเสี่ยงในการเผชิญหน้ากันอย่างมาก โดยผลักดันให้ราคาพลังงานโลกเพิ่มขึ้น เพราะเทรดเดอร์ได้นำพรีเมียมหรือค่าความเสี่ยงที่สูงขึ้นมารวมไว้ในราคาตลาดพลังงาน ราคาจะสูงขึ้นต่อไปเท่าไรจะขึ้นอยู่กับว่าเตหะรานจะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของสหรัฐ อย่างไร
ตลาดน้ำมันโลกได้รับผลกระทบจากวิกฤติดังกล่าวตั้งแต่ที่อิสราเอลโจมตีอิหร่านเมื่อกว่าสัปดาห์ที่แล้ว โดยราคาน้ำมันตลาดล่วงหน้าพุ่งสูงขึ้น ปริมาณออปชันพุ่งสูงขึ้น อัตราค่าระวางเรือพุ่งขึ้นเช่นกัน และเส้นกราฟราคาล่วงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปเพื่อสะท้อนความตึงเครียดเกี่ยวกับอุปทานที่ตึงตัวขึ้นในระยะใกล้ การผลิตน้ำมันดิบของตะวันออกกลางคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก และราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจะกระตุ้นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
“สิ่งนี้อาจนำเราไปสู่ราคาน้ำมันที่ 100 ดอลลาร์ หากอิหร่านตอบโต้ตามที่เคยขู่ไว้ก่อนหน้านี้” ซาอูล คาโวนิก นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากสำนักวิจัย MST Marquee กล่าว “การโจมตีของสหรัฐ ครั้งนี้อาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น”
ตลาดจับตาช่องแคบฮอร์มุซ :
มีความเสี่ยงที่ทับซ้อนกันหลายประการสำหรับการส่งออกน้ำมันดิบ โดยศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ช่องแคบฮอร์มุซ หากเตหะราน พยายามตอบโต้ด้วยการพยายามปิดจุดคอขวด ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของโลกประมาณหนึ่งในห้าถูกขนส่งผ่านช่องทางแคบทางเข้าอ่าวเปอร์เซียนี้
รัฐสภาของอิหร่านหนุนให้ปิดช่องแคบดังกล่าว ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ของรัฐ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้หากไม่ได้รับความเห็นชอบอย่างชัดแจ้งจากผู้นำสูงสุด อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี
ซัพพลายเออร์คู่แข่ง :
นอกจากนี้ เตหะรานอาจเลือกที่จะโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันดิบของซัพพลายเออร์คู่แข่งในตะวันออกกลาง เช่น ผู้ผลิตในกลุ่มโอเปกพลัสอื่นๆ รวมถึงซาอุดีอาระเบีย อิรัก หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยหลังจากการโจมตีของสหรัฐ ทั้งริยาด และแบกแดดแสดงความกังวลเกี่ยวกับการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์
หรือ เตหะรานอาจวางแผนโจมตีเรืออีกฝั่งของคาบสมุทรอาหรับในทะเลแดง เพื่อกระตุ้นให้กบฏฮูตีที่ตั้งอยู่ในเยเมนคุกคามเรือ หลังจากการโจมตีของสหรัฐ กลุ่มดังกล่าวขู่ว่าจะตอบโต้
หากการสู้รบทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งผลิตน้ำมันของเตหะรานเองก็อาจถูกโจมตี ซึ่งรวมถึงศูนย์กลางการส่งออกที่สำคัญที่เกาะคาร์ก อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลที่อเมริกาอาจต้องการหลีกเลี่ยง
จนถึงขณะนี้ เกาะคาร์กยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ โดยภาพถ่ายดาวเทียมชี้ให้เห็นถึงความพยายามของอิหร่านในการเร่งส่งออกน้ำมัน
วิกฤติครั้งนี้ยังทำให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตรซึ่งรวมถึงรัสเซียถูกจับตามอง ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กลุ่มโอเปกพลัส ได้ผ่อนปรนการควบคุมอุปทานอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามกอบกู้ส่วนแบ่งการตลาดกลับคืนมา แต่สมาชิกยังคงมีกำลังการผลิตที่ไม่ได้ใช้งานจำนวนมาก ซึ่งสามารถกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง
อัปเดตราคาเช้านี้ (23 มิ.ย.68)
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สำหรับการส่งมอบเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 2.5% อยู่ที่ 78.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ 7.54 น. ตามเวลาในสิงคโปร์
มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์มากกว่า 200,000 ล็อตในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกของการซื้อขาย ซึ่งถือเป็นปริมาณที่มากกว่าปกติ
ราคาสูงสุดประจำวันอยู่ที่ 81.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถือเป็นราคาสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต(WTI) สำหรับการส่งมอบเดือนสิงหาคม พุ่งขึ้นถึง 6.2% อยู่ที่ 78.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และซื้อขายที่ 75.67 ดอลลาร์
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 23 มิถุนายน 2568