ธุรกิจท่องเที่ยว หวั่นสงครามตะวันออกกลางเดือด ฉุดตลาดระยะไกลเที่ยวไทยทรุดตามรอยจีน
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า จากกรณีความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เริ่มรุนแรงขึ้น ผ่านสงครามและการปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพื่อตอบโต้กันนั้น ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันโลกที่จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน ตามต้นทุนการขนส่งที่ไม่ได้เป็นปกติ เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ก็จะกระทบหลักๆ 3 เรื่อง ได้แก่
1)ต้นทุนการเดินทางผ่านเครื่องบิน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะไกลที่จะเข้ามาเที่ยวไทย
2)เส้นทางการบินที่ไม่สามารถผ่อนเส้นทางตะวันออกกลาง จะต้องบินอ้อมไปมากน้อยเท่าใด และ
3)เศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดภาวะเงินเฟ้อ ความสำคัญคือ รายได้ของประชากรโลกจะหดตัวลง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการเดินทางท่องเที่ยว ทำให้ประเทศไทยต้องมาพิจารณาว่ามีการตั้งรับกับสิ่งเหล่านี้มากน้อยเท่าใด
นายอดิษฐ์ กล่าวว่า ตลาดหลักที่มีปัญหาอยู่เดิมรอบบ้านเรา โดยเฉพาะตลาดจีนและใช้ภาษาจีนในการสื่อสาร จะต้องฟื้นฟูอย่างไร รวมถึงตลาดระยะไกลที่อาจเริ่มมีปัญหามากขึ้นตามสถานการณ์ความตึงเครียดต่างๆ ควรจะมีมาตรการออกมารองรับ เพื่อทำอย่างไรให้มีผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากขณะนี้ตลาดระยะไกล ทั้งตะวันออกกลาง และยุโรปเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มมากขึ้น
จากข้อมูลของทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ระบุว่าตลาดระยะไกลเติบโตได้ดีมาก แม้ตลาดจีนชะลอตัวลง ทำให้เมื่อสงครามทำให้เกิดความตึงเครียด และสร้างผลกระทบให้กับตลาดตะวันออกกลางและยุโรปโดยตรง แต่จะมากหรือน้อยอย่างไรก็ต้องรอติดตามผลและประเมินอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้จากข้อมูลยังไม่มีสายการบินยกเลิกเที่ยวบินเข้าไทยแต่อย่างใด
นายอดิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังมีการปรับเปลี่ยนวางตำแหน่งในเบื้องต้น โดยกระทรวงสำคัญอย่างกระทรวงมหาดไทย อาจมีผู้คุมเป็นกองทัพเข้ามานั่งใน ครม.ใหม่ด้วยนั้น เบื้องต้นต้องยอมรับว่าประเมินภาพยากมาก เพราะไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก
ทำให้ต้องติดตามผลหลังประกาศจัดตั้ง ครม.แล้วเสร็จ ว่าผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเป็นอย่างไร เสียงการยอมรับจากสังคมหลังผู้นำขาดความน่าเชื่อถือ เพราะมีคลิปเสียงเจรจาระหว่างกัมพูชาแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งภาพลักษณ์การมี ครม.ใหม่จะสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้มากน้อยเท่าใด
รวมถึงเมื่อมี ครม.แล้วจะปฏิบัติการได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นได้หรือไม่ และปัจจัยเกี่ยวกับนิติสงครามที่จะเกิดขึ้นช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ จะมีผลต่อการทำงานของรัฐบาลมากน้อยเท่าใด
“รัฐบาลต้องเร่งสานต่อให้แล้วเสร็จเป็นเรื่องงบประมาณปี 2569 ที่ค้างท่ออยู่ เพราะหากปล่อยให้ล่าช้าออกไปจะเป็นภาพเหมือนปี 2567 ที่เศรษฐกิจจะทรุดตัวลดลงต่อเนื่อง แบบไม่ต้องมาพูดอะไรกันแล้ว เศรษฐกิจจะยิ่งแย่อีก การเติบโตของจีดีพีไม่รู้จะโตถึง 1% หรือไม่ เหมือนศูนย์พยากรณ์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินไว้ว่าทั้งปี 2568 จะโตประมาณ 1.5-2% และจะปรับลดคาดการณ์ลงด้วย” นายอดิษฐ์ กล่าว
นายอดิษฐ์ กล่าวว่า รวมถึงโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว อย่างเที่ยวไทยคนละครึ่ง เพราะมีการเปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนแล้ว แต่รอบของประชาชนยังไม่ได้เปิดตามมา ที่ผ่านมาขนาดรัฐบาลมีอำนาจเต็ม ก็ยังไม่เห็นการขับเคลื่อนมาตรการหรือโครงการออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนอย่างที่สวนดุสิตโพล ทำการสำรวจคนไทยเกินครึ่ง ไม่เชื่อมั่นแคมเปญท่องเที่ยวของรัฐบาล ทำให้หากการประชุม ครม.นัดต่อไปมีการพิจารณางบประมาณออกมาใช้ผ่านมาตรการต่างๆ ได้ ก็น่าจะเห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น แต่ตอนนี้ภาคเอกชนทำได้แค่ดูไปก่อนเท่านั้น
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 23 มิถุนายน 2568