จีนใช้ "หยวน" เป็นอาวุธ ส่งออกสินค้าถูกสู่ "อาเซียน-ยุโรป" ชดเชยตลาดสหรัฐ
จีนใช้ "เงินหยวน" เป็นอาวุธ ดัชนีค่าเงินหยวนต่ำสุดในรอบ 4 ปี กลยุทธ์ส่งออกสินค้าถูกสู่ตลาด "อาเซียน-ยุโรป" หวังชดเชยการส่งออกไปสหรัฐที่กำลังชะลอตัว
สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า จีนกำลังใช้กลยุทธ์ “เงินหยวน” อ่อนค่า เพื่อทำให้สินค้าจีนมีราคาถูกลงและสามารถแข่งขันในตลาดได้ดีกว่า โดยเฉพาะ “อาเซียน” และยุโรป เพื่อชดเชยการชะลอตัวของการส่งออกไปยังสหรัฐ
“ดัชนีค่าเงินหยวน” หรือ CFETS ซึ่งเป็นมาตรวัดค่าเงินหยวนเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศ 25 สกุล เช่น ดอลลาร์ ยูโร เยน วอน และเงินบาท ได้ลดลงมาอยู่ที่ 95.49 เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2564 และนับตั้งแต่สิ้นปี 2567 ดัชนีนี้ลดลงมาแล้ว 5% ซึ่งมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องเกือบตลอดทั้งปีนี้
เงินหยวนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงิน 19 สกุลจากทั้งหมด 25 สกุล ที่อยู่ในดัชนี CFETS เช่น หยวนอ่อนค่าลงเกือบ 10% เมื่อเทียบกับเงินยูโร นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยอัตราแลกเปลี่ยนเคยไปอยู่ที่ 8.44 หยวนต่อยูโรในช่วงปลายเดือนเม.ย. ซึ่งต่ำสุดในรอบเกือบ 11 ปี และเงินหยวนยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในอาเซียน
หยวนแข็งค่า เมื่อเทียบกับ ‘ดอลลาร์’ :
ถึงแม้เงินหยวนจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ทั่วโลก แต่ “ดอลลาร์” ถือเป็นข้อยกเว้น โดยเงินหยวนแข็งค่าขึ้นประมาณ 2% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ปัจจุบันอยู่ที่ราว 7.18 หยวนต่อดอลลาร์ รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินหยวนและดอลลาร์ค่อนข้างคงที่ โดยเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 7.16-7.20 หยวนต่อดอลลาร์ตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์มองว่าการที่ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทั่วโลกยกเว้นดอลลาร์ สะท้อนถึงความตั้งใจของทางการจีนเองในช่วงเวลานี้ เพราะในสถานการณ์ที่การส่งออกสินค้าของจีนไปยังสหรัฐยังคงไม่แน่นอน
แต่ทว่าการที่จีนจะจงใจทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์นั้นดูไม่สมเหตุสมผลนัก เพราะมันจะยิ่งทำให้สินค้าจีนแพงขึ้นในสายตาผู้ซื้อชาวอเมริกันและส่งออกได้ยากขึ้นไปอีก
ยอมให้หยวนอ่อนค่า กลยุทธ์การค้าสู่ ‘อาเซียน’ :
โยสุเกะ สึยูกูจิ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการเงินของจีนจากมหาวิทยาลัยเทเคียวในโตเกียว อธิบายว่า จีนตระหนักดีว่าการส่งออกไปสหรัฐกำลังลดลง ดังนั้น สิ่งที่จีนกำลังทำคือ การหาทางชดเชยการสูญเสียนี้ด้วยการเพิ่มการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลกแทน ซึ่งการทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่ดอลลาร์ จะช่วยให้สินค้าจีนมีราคาถูกลงและแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดเหล่านั้น
การส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์ ในเดือนเม.ย. เมื่อภาษีพุ่งสูงกว่า 100% ทำให้การส่งออกลดลงถึง 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ว่าในเดือนพ.ค. ทั้งสองฝ่ายจะตกลงลดภาษีร่วมกันที่ 115% การส่งออกก็ยังคงหดตัวถึง 35%
ในทางตรงกันข้าม การส่งออกของจีนไปยังอาเซียนกลับเติบโตอย่างน่าประทับใจ โดยเพิ่มขึ้น 21% ในเดือนเม.ย. และ 15% ในเดือนพ.ค. ขณะเดียวกัน การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปก็ขยายตัวเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 8% และ 12% ตามลำดับ
Goldman Sachs ประเมินว่า หากค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง 10% เมื่อเทียบกับกลุ่มสกุลเงินหลักที่ใช้ในการค้าขาย การส่งออกสินค้าของจีนจะเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งผลลัพธ์นี้จะเห็นได้ในอีกประมาณหนึ่งไตรมาสถัดมา และจะส่งผลให้ GDP ของจีนเติบโตเพิ่มขึ้น 0.75%
Andrew Tilton จาก Goldman Sachs ยังเสริมว่า การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่าง ๆ ทั่วโลกโดยรวมนั้น มีผลกระทบต่อการส่งออกของจีนมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์เพียงสกุลเดียว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 24 มิถุนายน 2568