สภาผู้ส่งออกฯ เตือนไทยทรุดหากปิดช่องแคบฮอร์มุซ กระทบนำเข้า น้ำมัน-ปุ๋ย
ประธานสภาผู้ส่งออกฯ เตือนวิกฤตตะวันออกกลาง หากปิดช่องแคบฮอร์มุซ กระทบนำเข้า น้ำมัน–ปุ๋ย ชี้ภาคเกษตรเสี่ยงต้นทุนพุ่ง แนะรัฐเร่งหาตลาดพลังงาน–ปุ๋ยใหม่ เสริม Solar Rooftop ลดความเสี่ยง
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดสงครามตะวันออกกลาง ทางสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ ได้วิเคราะห์หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ทั่วโลกจะได้รับผลกระทบแน่นอน โดยเบื้องต้นประเมินไว้ว่า ท่าเรือหลัก อาทิ Jabel Ali , Doha, Dammam น่าจะปิดเส้นทางหมด รวมถึงเครือข่ายในภูมิภาค จะได้รับผลกระทบจากการส่งออกน้ำมันในบริเวณดังกล่าวทั้งหมด
นายธนากร มองผลกระทบของไทยว่า ปัจจุบันสัดส่วนสินค้าไทยที่ส่งออกไปตะวันออกกลาง ในปี 2567 อยู่ที่ 3.5% ของการส่งออกไทยทั้งหมด เมื่อเกิดสถานการร์ดังกล่าวขึ้นอาจทำให้การส่งออกไทยในภาพรวมของปีนี้ไม่ขยายตัว เช่นเดียวกับการนำเข้าจะได้รับผลกระทบมาก เพราะไทยนำเข้าจากตะวันออกกลาง กว่า 9.27%
โดยเฉพาะน้ำมันดิบ และ ปุ๋ย จะก่อให้เกิดผลกระทบหนักกว่า เนื่องจากในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมาของปี 2568 ไทยมีการนำเข้าน้ำมันดิบจาก UAE กว่า 41.09% ซาอุดิอาระเบีย 12.04% กาตาร์ 3.35% หากคิดเฉพาะ 3 ประเทศนี้มีสัดส่วนสูงถึง 56.48% จากสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ไทยมีการนำเข้าปุ๋ยจากตะวันออกกลางสูงถึง 42.37% แบ่งเป็น ซาอุดิอาระเบีย 27.71% กาตารร์ 3.67% จอร์แดน 3.48% โอมาน 3.41% และบาห์เรน 2.3% โดยหากเกิดการปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะมีผลต่อภาคการเกษตรของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ต้นทุนการทำเกษตรสูงขึ้น เป็นแรงกดดันด้านราคา เพราะอาจจะขึ้นราคาขายให้ครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ยาก
สำหรับแนวทางการปรับตัว มองว่า ในด้านความมั่นคงทางพลังงาน ต้องเร่งปรับแหล่งจัดซื้ออื่นทดแทน หรือเพิ่ม stock น้ำมันดิบให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อพลังงานจากสหรัฐให้มากขึ้น แต่การเปลี่ยนแหล่งผลิตอื่น อาจมีข้อติดขัด เนื่องจากปกติจะมีการสั่งซื้อกันไว้ล่วงหน้า และแต่ละแหล่งจะมีคุณภาพน้ำมัน ที่ทำให้สัดส่วนน้ำมันสำเร็จรูปแต่ละชนิดได้ปริมาณแตกต่างกันด้วย
รวมทั้งเสนอให้สนับสนุนติดตั้ง Solar Rooftop สำหรับครัวเรือน โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานจากน้ำมัน/ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในระยะยาวได้เช่นกัน และขอให้เพิ่มสัดส่วนแหล่งนำเข้าปุ๋ยจากแหล่งอื่นเพิ่มชึ้น อาทิ รัสเซีย จีน มาเลเซีย ลาว และบรูไน เป็นต้น
ขณะที่ช่องทางในการขนส่งสินค้าต้องพิจารณาทางเลือกใหม่ โดยอาจจะต้องขนถ่ายผ่านท่าเรือรองอื่น ๆ อาทิ Jeddah (Saudi), Salalah (Oman) และขนส่งทางบกต่อไปยังพื้นที่ปลายทาง แต่ต้องหารือกับผู้ขนส่งเพื่อทราบแนวทางปฏิบัติไว้ล่วงหน้า รวมทั้งต้องพิจารณากรณีต้องส่งกลับสินค้าว่าต้องดำเนินการอย่างไร พิธีการศุลกากรขาเข้าอย่างไร และมีค่าใช้จ่ายเท่าใดด้วย
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 23 มิถุนายน 2568