"อาเซียน" เร่งทำดีลการค้าเสรีกับ "อียู" ผนึกกำลังทางเศรษฐกิจ ลดพึ่งพา
ด้วยภัยคุกคามจากภาษีทรัมป์ "อาเซียน" และ "สหภาพยุโรป" กำลังผนึกกำลังทางเศรษฐกิจ อินโดนีเซียทำข้อตกลงกับอียู ลดภาษีส่งออก 80% ส่วนไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ต่างเร่งเจรจา FTA กับอียู เพื่อลดพึ่งพาตลาดสหรัฐ
เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียรายงานว่า ท่ามกลางภัยคุกคามจากภาษีทรัมป์ ทำให้ความสัมพันธ์การค้าระหว่างภูมิภาค “อาเซียน” กับ “สหภาพยุโรป” มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้บรรลุข้อตกลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อเดินหน้าทำข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (CEPA) ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน นี้
“เราต้องการเห็นการมีส่วนร่วมของยุโรปในเศรษฐกิจของเรามากขึ้น” ปราโบโว กล่าวในการแถลงข่าวร่วม
ภายใต้ข้อตกลงนี้ อัตราภาษีจะถูกยกเลิกสำหรับสินค้าส่งออกของ “อินโดนีเซีย” ที่ไปยังสหภาพยุโรป 80% ภายใน 1-2 ปีหลังจากข้อตกลงมีผลบังคับใช้ ตามข้อมูลของรัฐบาลอินโดนีเซีย
รัฐบาลอินโดนีเซีย คาดการณ์ว่า การส่งออกของอินโดนีเซียไปยังสหภาพยุโรป จะเพิ่มขึ้นราว 58% ภายใน 3 ปีหลังจากข้อตกลงมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 0.19%
การค้าขายกับอียู อาจช่วยอินโดนีเซียลดผลกระทบจากภาษีทรัมป์ที่อัตรา 32% ซึ่งอเมริกาเป็นผู้รับสินค้าส่งออกของอินโดนีเซีย 11% และเป็นผู้นำเข้าสินค้าอินโดนีเซียรายใหญ่อันดับ 2 รองจากจีน
ขณะที่สหภาพยุโรป เป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับ 5 ของอินโดนีเซีย โดยรับสินค้าไป 7%
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปคิดเป็น 9% ของการส่งออกทั้งหมดจากภูมิภาคอาเซียน ทำให้เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของกลุ่มสมาชิก 10 ประเทศนอกภูมิภาค รองจากจีน และสหรัฐ
สำหรับ “ไทย” ได้เสร็จสิ้นการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรปในรอบที่ 6 เมื่อปลายเดือนมิถุนายน และได้ระบุแผนที่จะสรุปการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
“จากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจโลก ทั้งไทย และสหภาพยุโรปได้ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่เชื่อถือได้และคาดการณ์ได้” พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของไทยในขณะนั้นกล่าว
ทั้งนี้ “สหภาพยุโรป” ถือเป็นคู่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย โดยการเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มขึ้นในปี 2556 แต่ก็หยุดชะงักลงหลังจากการยึดอำนาจของกองทัพไทย และการหารือได้กลับมาดำเนินการต่อในปี 2566
ส่วน “มาเลเซีย” ประกาศเมื่อเดือนมกราคม ว่า จะกลับมาเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหภาพยุโรปอีกครั้ง โดยการเจรจารอบแรกได้จัดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ถึงต้นเดือนกรกฎาคม
ที่ผ่านมา มาเลเซียเคยระงับการเจรจาไปในปี 2555 เนื่องจากความไม่เห็นด้วยกับมาตรการของสหภาพยุโรปที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม
ขณะที่ “ฟิลิปปินส์” ก็ได้กลับมาเจรจากับสหภาพยุโรปในเดือนตุลาคม 2567 ด้วยแผนที่จะสรุปข้อตกลงให้ได้ภายในปี 2570
ในขณะนี้ สหภาพยุโรปกำลังเร่งกระจายคู่ค้า และห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางการเคลื่อนไหวแบบแยกตัวของสหรัฐ และภัยคุกคามความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องจากจีน
“เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ปั่นป่วน และเมื่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมาบรรจบกับความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ พันธมิตรอย่างเราต้องใกล้ชิดกันมากขึ้น” ฟอน เดอร์ ไลเอิน กล่าวในการแถลงข่าวร่วมกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
อาเซียนได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกภายในปี 2588 ซึ่งสหภาพยุโรปเองก็ได้แสดงความเต็มใจที่จะขยายความร่วมมือกับญี่ปุ่น และประเทศสมาชิกอื่นๆ ด้วยข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (CPTPP)
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 15 กรกฏาคม 2568