เร่ง" ไฮสปีดไทย-จีน" จิ๊กซอว์เศรษฐกิจ ใกล้ความจริง ไม่ใช่ความฝัน!!
หนึ่งเมกะโปรเจ็กต์สำคัญของประเทศไทย ที่หลายคนให้ความสนใจและตั้งตารอมาก คือ "รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน"
โครงการที่ถูกขนานนามว่า “จิ๊กซอว์เศรษฐกิจเชื่อมภูมิภาค” ซึ่งเป็นความร่วมมือภายใต้กรอบ Belt and Road Initiative (BRI) หรือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ที่มีเป้าหมายไม่เพียงแค่เชื่อมโยงไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และสาธารณรัฐประชาชนจีนเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการยกระดับขนส่งทางรางไทย พร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต
แม้กระบวนการก่อสร้างจะมีความล่าช้า ขยายยืดเวลาออกไปต่อเนื่อง และเจออุปสรรคหลายรูปแบบ แต่ความตั้งใจของรัฐบาลยุคพรรคเพื่อไทย ภายใต้การกำกับกระทรวงคมนาคมของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เดินหน้าสานฝันให้คนไทยได้ใช้รถไฟความเร็วสูงในประเทศภายในปี 2572 (ระยะที่ 1) ไปจนถึงปี 2574 (ระยะ 2) เต็มกำลัง พร้อมดำเนินงานกันอย่างเต็มความสามารถ เพื่อที่จะทำให้โครงการมีความคืบหน้าในกรอบตามแผน
แม้โครงการจะได้รับการผลักดันต่อเนื่องในฐานะเมกะโปรเจ็กต์ระดับประเทศ แต่เสียงวิพากษ์ยังมีอยู่ไม่น้อย ทั้งในประเด็นงบประมาณก่อสร้างที่บานปลาย และข้อกังวลถึงกรอบเวลาในการก่อสร้างที่ไม่แน่นอน จึงทำให้เกิดคำถามสำคัญคือ ‘คืบหน้าจริงแค่ไหน?’ และความฝันของคนไทยที่จะได้ใช้รถไฟความเร็วสูง จะเป็นจริงแน่ชัดหรือไม่
ส่องความคืบหน้างานโยธา :
เส้นทางการเนรมิตก่อสร้าง โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย เมกะโปรเจ็กต์ด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในรอบทศวรรษ โดยการก่อสร้างแบ่งออกเป็น 2 ระยะ
เริ่มจากระยะแรกของโครงการ จะครอบคลุมเส้นทางจากกรุงเทพมหานครถึงนครราชสีมา ระยะทางราว 250.77 กิโลเมตร ได้เริ่มต้นการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2560 ตั้งแต่สมัยรัฐบาลยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี โดยรัฐบาลไทยเป็นผู้ลงทุนทั้งหมดด้วยงบประมาณสูงถึง 179,412.21 ล้านบาท
ถึงแม้ว่าจะเป็นโครงการที่ถูกผลักดันภายใต้กรอบความร่วมมือไทย-จีน และได้รับการวางตำแหน่งให้เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับโครงข่ายทางรางของประเทศ แต่กระบวนการก่อสร้างกลับเผชิญความล่าช้า และมีการเลื่อนกำหนดเปิดให้บริการมาแล้วหลายครั้ง
จนมาถึงล่าสุดปี 2568 ในรัฐบาลยุค แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ปรับกรอบเวลาใหม่ โดยตั้งเป้าเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2572 และเปิดเดินรถในระยะที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ภายในปี 2574 หากดำเนินการแล้วเสร็จตามแผน ผู้โดยสารจะสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯสู่หนองคายได้ภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง 28 นาที ซึ่งจะถือเป็นการย่นระยะเวลาการเดินทางในระดับประวัติการณ์ และเชื่อมโยงไทยเข้ากับเส้นทางรถไฟลาว-จีนได้อย่างสมบูรณ์
ล่าสุด วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าภาพรวมการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย ว่า การก่อสร้างงานโยธาในระยะแรก ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ซึ่งแบ่งออกเป็น 14 สัญญา มีความคืบหน้า 45.65% จากแผนงานกำหนด 64.197% ถือว่าล่าช้าไป 18.552% และปัญหาที่ทำให้การก่อสร้างมีความล่าช้ามีทั้งเรื่องการเวนคืนและการปรับแบบก่อสร้าง
วีริศระบุว่า ใน 14 สัญญา มีเพียง 2 สัญญาเท่านั้นที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ คือช่วง “กลางดง-ปางอโศก” และช่วง “สีคิ้ว-กุดจิก” อีก 10 สัญญายังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ขณะที่อีก 2 สัญญาที่ยังไม่สามารถเริ่มงานได้ ได้แก่ สัญญา 4-1 ช่วง “บางซื่อ-ดอนเมือง” ระยะทาง 15.21 กิโลเมตร ซึ่งเป็นโครงสร้างร่วมกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และยังคงติดขั้นตอนการเจรจาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน โดยอัยการสูงสุดอยู่ระหว่างตรวจร่าง จากนั้นต้องรอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อนจึงจะเริ่มงานก่อสร้างได้
และสัญญา 4-5 ช่วง “บ้านโพ-พระแก้ว” ระยะทาง 13.30 กิโลเมตร ที่เผชิญข้อท้าทายจากประเด็นมรดกโลก โดยเฉพาะเรื่องทัศนียภาพบริเวณโบราณสถานพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ขึ้นทะเบียนของยูเนสโก (UNESCO) ทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องปรับรูปแบบก่อสร้างสถานีให้มีความโปร่ง ลดระดับหลังคา เพื่อหลีกเลี่ยงการบดบังทัศนียภาพและลดผลกระทบต่อสถานะมรดกโลก ขณะเดียวกัน กรมศิลปากรจะเข้ามาร่วมประเมินความเสี่ยงด้านโบราณวัตถุในช่วงขุดเจาะ คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มราว 50 ล้านบาท โดยรวมยังอยู่ในกรอบงบสัญญา เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาและเริ่มงานได้ในเดือนสิงหาคม 2568
นอกจากนี้ วีริศกล่าวว่า สำหรับขบวนรถไฟที่จะนำมาใช้งานในระยะแรก จะเป็นรถไฟรุ่น Fuxing Hao CR300AF จากประเทศจีน ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รองรับผู้โดยสารได้ 594 ที่นั่ง แบ่งเป็น ชั้นหนึ่ง 96 ที่นั่ง และชั้นมาตรฐาน 498 ที่นั่ง รฟท.ได้สั่งซื้อ จำนวน 6 ขบวน ในราคาขบวนละประมาณ 1,166 ล้านบาท โดยตั้งเป้าให้เดินทางระหว่างกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ภายในเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที
อย่างไรก็ดี จากแผนเดิมที่เคยตั้งเป้าเปิดให้บริการเฟสแรกภายในปี 2569 ล่าสุด รฟท.ได้ขยับเป้าหมายไปเป็นปี 2572
ส่วนการก่อสร้างงานโยธา ในระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย วีริศระบุว่า โครงการระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357.12 กม. กรอบวงเงิน 341,351.42 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี (ปีงบประมาณ 2568-2575) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างงานโยธาทั้งหมด ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 12,418.16 ล้านบาทค่าก่อสร้างงานโยธา 237,454.86 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษาควบคุมงาน 6,530.01 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีค่าลงทุนระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ประเมินมูลค่าประมาณ 80,000 ล้านบาท
ปัจจุบันได้ดำเนินการออกแบบแล้วเสร็จและผ่านการพิจารณาเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว และ ครม.ได้อนุมัติโครงการแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จพร้อมเปิดบริการได้ในปี 2574
‘เศรษฐา’ชี้จิ๊กซอว์สำคัญ‘บูมการค้า-ลงทุน’ :
โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย ไม่ใช่เป็นเพียงหนึ่งในเมกะโปรเจ็กต์ของคมนาคมที่จะช่วยยกระดับวงการขนส่งทางรางเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่จะช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในอีกหลายรูปแบบ ดังนั้น จึงเป็นโปรเจ็กต์เรือธง ที่หลายภาคส่วนต่างลุ้นอยากให้สำเร็จเป็นรูปธรรม
ล่าสุด เครือมติชนได้รับเกียรติจาก เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีมาพูดคุยในงาน Exclusive Dinner Talk 50 ปีไทย-จีนThe Golden Road : From Now to Eternity เนื่องในวาระของการครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซึ่งตอนหนึ่ง เศรษฐาได้เล่าถึงโครงการ “แถบและเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ซึ่งเป็นเรื่องของการสร้างรถไฟจากภูมิภาคอาเซียนไปสู่ประเทศจีน
เศรษฐาระบุ ในช่วงเวลา 1 ปีที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย มีโอกาสสำคัญในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อร่วมการประชุมความร่วมมือระดับนานาชาติภายใต้โครงการ “แถบและเส้นทาง” (Belt and Road Initiative-BRI) ซึ่งตรงกับช่วงที่เขาเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 1 เดือน การประชุมครั้งนั้นไม่เพียงเปิดประตูสู่การเจรจาระดับพหุภาคีเกี่ยวกับโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงในภูมิภาคอาเซียน หากแต่ยังเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ตนได้หารือทวิภาคีกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างลึกซึ้ง
เศรษฐากล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนในระดับผู้นำดำเนินไปอย่างอบอุ่นและให้เกียรติ โดยเฉพาะเมื่อมีการหยิบยกประเด็นสำคัญที่สุดของความร่วมมือครั้งนี้ นั่นคือ “โครงการรถไฟความเร็วสูง” ที่ประเทศไทยมีบทบาทเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเชื่อมเส้นทางจากจีนตอนใต้ผ่านประเทศลาว สู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและต่อเนื่องลงสู่ภาคใต้ไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์
“รถไฟเส้นนี้ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่คือยุทธศาสตร์การค้าของภูมิภาค และย้ำว่า เส้นทางนี้มีศักยภาพสูงในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะ ‘อาหาร’ ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย ไปยังตลาดจีนที่มีความต้องการสูง” เศรษฐากล่าว
เศรษฐาระบุถึงตัวอย่างประเทศที่มีบทบาทคล้ายกันอย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่สามารถใช้ไทยและสิงคโปร์เป็นจุดผ่านในการลำเลียงอาหารเข้าสู่จีน หากโครงข่ายทางรางนี้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์จะไม่เพียงย่นระยะเวลา แต่ยังช่วยยกระดับศักยภาพด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาคในระดับโลก
อย่างไรก็ตาม โครงการรถไฟความเร็วสูงยังคงเผชิญอุปสรรคหลายด้านไม่ใช่เพียงเรื่องงบประมาณ หากแต่รวมถึงความเชื่อมโยงของระบบราชการและกระบวนการข้ามแดนที่ยังขาด “One Stop Service” อย่างแท้จริง แม้รถไฟจะเร็ว แต่ถ้าต้องเสียเวลาอยู่กับโต๊ะราชการ 4-5 แห่งที่ชายแดน สินค้าก็ยังออกไม่ได้ตามเวลา พร้อมตั้งคำถามถึงความพร้อมของระบบหลังบ้านที่จะรองรับโครงข่ายใหม่
เศรษฐาระบุว่า มีความเชื่อมั่นว่าแม้จะเป็นโครงการระยะยาว แต่บางจุดสำคัญ เช่น ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ได้เริ่มมีการดำเนินการแล้ว ขณะที่ส่วนที่เหลือคาดว่าจะมีการเปิดประมูลเร็วๆ นี้ ซึ่งหากเป็นไปตามแผน บางช่วงของเส้นทางนี้อาจได้เห็นความคืบหน้าชัดเจนภายใน 3 ปีข้างหน้า
ท้ายที่สุด เศรษฐากล่าวว่า ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทยขอย้ำว่า Belt and Road Initiative คือยุทธศาสตร์ใหญ่ของจีน และประเทศไทยมีบทบาทเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการผลักดันความมั่นคงทางอาหารของทั้งภูมิภาคผ่านระบบคมนาคมที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โครงการรถไฟความเร็วสูงจึงไม่ใช่แค่เรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน แต่คือเครื่องมือในการสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืนระหว่างประเทศ
เสียงจากนักวิชาการ ชงรัฐกระตุ้นโครงการ :
ฟากนักวิชาการที่ถือเป็น 1 เสียงจากประชาชน ก็มีความหวังเช่นกันว่ารัฐบาลจะสามารถผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ให้สำเร็จ
โดย ดิสพล ผดุงกุล ประธานอนุกรรมการ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ สาขาจราจรและขนส่ง ระบุปัจจุบันรับรู้ข้อมูลมาว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างงานโยธา ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลและ รฟท.ก็ได้มีการเร่งรัดการก่อสร้างโครงการให้สม่ำเสมอและเป็นไปตามแผน และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ได้มากำกับโครงการนี้ด้วยตนเอง ดังนั้น จึงมั่นใจว่าถ้าเสร็จตามแผนโครงการนี้ก็จะเป็นส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดีมาก
โดยในส่วนสัญญาจ้างงานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) แม้ทางไทยจะมีการจ่ายเงินล่วงหน้าให้กับผู้รับเหมาไปแล้ว แต่ยังถือว่าคืบหน้าน้อย ดังนั้น จึงอยากให้ รฟท.และภาครัฐให้ความสำคัญในการเร่งรัดส่วนนี้ด้วย
ดิสพลทิ้งท้ายว่า แม้โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน จากกรุงเทพฯ-หนองคาย จะใช้เงินทุนการก่อสร้างสูง แต่เส้นทางที่รถไฟความเร็วสูงจะผ่านล้วนเป็นจังหวัดใหญ่ แม้ตนจะไม่ได้ศึกษาลงลึกว่ามีผลต่อความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างไร แต่เส้นจังหวัดใหญ่ล้วนจะมีผู้โดยสารที่สนใจใช้บริการเยอะ และหากโครงการสำเร็จ ผู้โดยสารมาใช้บริการมาก ตนมองว่าก็จะมีผลดีต่อระบบเศรษฐกิจได้พอสมควร
เมกะโปรเจ็กต์ความหวัง ที่คนไทยวาดฝันมานาน จะเป็นจริงตามแผนใหม่หรือไม่ รอลุ้น!!
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 28 กรกฏาคม 2568