กกร.ห่วงเกณฑ์ Local Content ไม่ชัด ฉุดส่งออก-SME จี้รัฐเร่งปฏิรูป-แก้กฎหมาย
ภาคเอกชนห่วงภาษีสหรัฐ และเกณฑ์ Local Content ไม่ชัดเจน หวั่นกระทบส่งออก-SME สาหัส จี้ภาครัฐเร่ง "ปฏิรูปประเทศ-แก้กฎหมาย"
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า เอกชนยังกังวลประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีสินค้า transshipment และการกำหนดสัดส่วน local content ของแต่ละประเทศซึ่งแต่เดิมใช้เกณฑ์ WTO ที่ 40% แต่ปัจจุบันสหรัฐจะใช้เกณฑ์ของตัวเองซึ่งยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน อาจส่งผลให้บางสินค้าของไทยถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ได้ โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีสัดส่วน Local Content ต่ำ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือทั้งในระยะสั้น และการเปลี่ยนผ่านในระยะข้างหน้า ในระยะสั้นการแข่งขันด้านราคาจะเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าที่ไทยส่งออกและสินค้าที่ขายในประเทศที่จะแข่งขันกับสินค้าที่ไทยเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบกลุ่มที่มี Margin ต่ำ และต้องเร่งสำรวจการใช้ Local Content เพื่อลดความเสี่ยงภาษี transshipment รวมถึงบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนพิธีการศุลกากร และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่ขายในประเทศ
"เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว โดยการส่งออกแผ่วลงหลังหมดปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งส่งออก การแข่งขันด้านราคาที่มากขึ้น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นรวมถึงปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ และกำลังซื้อของผู้บริโภคสหรัฐฯที่ลดลงจากเงินเฟ้อ"
ทั้งนี้ กกร. เห็นว่าไทยยังขาดข้อมูลสำคัญด้านโครงสร้างการผลิตรายอุตสาหกรรม เช่น การใช้วัตถุดิบขั้นต้นและขั้นกลางในประเทศ รวมถึง Regional Value Content (RVC) ซึ่งภาคเอกชนได้เริ่มสำรวจและเก็บข้อมูลพื้นฐาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ และหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง เพื่อการตัดสินใจและเจรจาภายใต้การค้าโลกรูปแบบใหม่ (New trade paradigm) บทบาทของไทยในอาเซียน สร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าจากต่างประเทศที่อาจทะลักเข้ามาขายในไทยมากขึ้นเพื่อหาที่ระบาย โดยภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น 19% จะตกอยู่กับใครระหว่างผู้ซื้อหรือผู้ขาย ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่ผู้ค้าต้องตกลงกันเอง
ทั้งนี้ ภาคเอกชนกำลังเร่งสำรวจข้อมูลโครงสร้างการผลิตในแต่ละอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสัดส่วน Local Content เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลที่ถูกต้องและนำไปใช้เจรจาได้อย่างตรงจุด ดังนั้น ในส่วนของการพัฒนาหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าในประเทศ หรือ RVC เพื่อใช้วัดสัดส่วนมูลค่าที่เกิดจากกระบวนการผลิตภายในประเทศให้สอดคล้องกับเกณฑ์ใหม่ของสหรัฐนั้น มองว่าสัดส่วน 40% นั้นสบาย แต่ถ้า 50% ก็อาจจะพอทำได้ แต่หากจะสูงถึง 60% ก็อาจจะแย่
ดังนั้น ไทยควรเร่งพัฒนาและขยายอุตสาหกรรมต้นน้ำให้แข็งแกร่ง เพื่อเพิ่มสัดส่วน Local Content ให้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ไทยได้เปรียบทางการค้าและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาสร้าง Supply Chain ในประเทศ โดยกกร. เสนอให้ภาครัฐพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะมาตรการ Soft Loan ที่มีเงื่อนไขและระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เงินทุนส่งผ่านไปยังกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง
พร้อมการปรับแก้กฎหมายที่ล้าสมัยให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าโลกแบบใหม่เป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน เนื่องจากในอนาคตจะมีอีกหลายประเทศที่ปรับใช้กฎเกณฑ์ใหม่คล้ายคลึงกับสหรัฐ ดังนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ไทยเคยต้องจ่ายภาษีสหรัฐเพียง 2% ซึ่งการที่ตัวเลขใหม่นี้ขยับขึ้นมาเป็น 19% และเทียบเท่ากับคู่แข่งในภูมิภาคจึงยังคงสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐได้อย่างน้อยในระยะสั้น ซึ่งต่างจากภูมิภาคอื่นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นฐานการผลิตหลักอย่างจีนที่โดนภาษีในอัตราที่สูงกว่า
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มที่มีอัตรากำไร (Margin) ต่ำกว่า 10% ส่วนใหญ่ขายในปริมาณมากแต่มีราคาถูก ทำให้ไม่สามารถผลักภาระภาษี 19% ให้ผู้บริโภคได้โดยตรง เพราะสหรัฐเป็นตลาดเปิดและผู้บริโภคมีทางเลือกอื่น กลุ่มนี้จึงต้องเจรจากับผู้นำเข้าเพื่อแบ่งเบาภาระร่วมกัน เช่น ผู้ส่งออกไทยรับผิดชอบ 10% และผู้นำเข้า 9% เป็นต้น ในระยะยาว อุตสาหกรรมเหล่านี้ จำเป็นต้องปรับตัวด้วยการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ส่วนอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูง เช่น 30% อาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และเมื่อตัวเลขภาษีเท่าเทียมกัน การลงทุนในไทยจึงไม่น่าจะหยุดชะงัก
ทั้งนี้ สถานการณ์ภาษีออกมาเช่นนี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หากไทยไม่ปรับตัวอย่างรวดเร็วก็อาจตามหลังประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือ
1)ปฏิรูปประเทศ :
เร่งปฏิรูประบบการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ปรับปรุงระบบการศึกษาให้ผลิตบุคลากรตรงตามความต้องการของตลาด และพัฒนาระบบราชการให้รวดเร็ว ทันสมัย และโปร่งใสด้วยระบบดิจิทัล ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและแก้ไขปัญหาที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ที่สหรัฐเคยมองว่าไทยมีกฎหมายซับซ้อนและใช้เวลาอนุมัติมาก
2)เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ :
ภาครัฐควรเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ด้านดิจิทัล การจัดการน้ำ ระบบขนส่งทางบกและทางน้ำ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และกระจายความเจริญไปทั่วประเทศ และควรส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้และลดความแออัดในเมืองหลัก
3)เจรจาและบริหารจัดการ :
ต้องมีการเจรจากับสหรัฐถึงสัดส่วน Local Content ที่ต้องมีสัดส่วนการผลิตในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 40-60% เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์จากประเทศอื่น นอกจากนี้ การบริหารจัดการสินค้าเกษตรและพลังงานนำเข้าให้ดี จะช่วยลดต้นทุนในประเทศและสร้างสมดุลทางการค้าได้อีกด้วย โดยปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร รวมถึงอาหารถือว่ามีสัดส่วน Local Content สูงกว่า 80% แต่ก็มีอีกหลายอุตสาหกรรมที่สัดส่วน Local Content น้อย เช่น กลุ่มเครื่องสำอาง หรือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ครึ่งปีแรกการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นสูงถึง 15% เนื่องจากผู้สั่งซื้อในสหรัฐเร่งสต็อกสินค้าเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของภาษี แต่หลังจากนี้การส่งออกอาจชะลอตัวลงบ้าง โดยเฉลี่ยแล้วคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะยังคงเป็นบวกอาจอยู่ที่ประมาณ 3% ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยปีนี้น่าจะเติบโตเกิน 2% ได้
อีกหนึ่งเรื่องที่น่ากังวล คือ การสวมสิทธิ์ (Transshipment) จากประเทศอื่น โดยเฉพาะจีนที่กำลังมองหาตลาดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนแม้ตัวเลขจะยังไม่นิ่งแต่ก็ส่งผลให้สินค้าจีนจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาในภูมิภาค ทำให้ SME ของไทยหลายกลุ่มได้รับผลกระทบ
ส่วนการเปิดตลาดสินค้าสหรัฐโดยลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% สำหรับรายการสินค้าส่วนใหญ่กว่า 90% นั้น คาดว่าผลกระทบจะไม่มากนัก เพราะสหรัฐไม่ได้เป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมานานแล้ว แต่จะเน้นไปที่ภาคบริการและเทคโนโลยีเป็นหลัก
นายเกรียงไกร กล่าวว่า เพื่อรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ ไทยจะต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็งเพื่อไม่ให้ประเทศอื่นมาสวมสิทธิ์ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ โดย ส.อ.ท. มีโครงการ "Made in Thailand" เพื่อสนับสนุนการผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้า และสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าว่าสินค้าที่ส่งออกไปนั้นเป็นของไทยจริง ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาวได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 6 สิงหาคม 2568