ภาษีสหรัฐ 12% เป็นไปได้หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ ทางรอดไทยในสงครามการค้า
ประชาชาติธุรกิจ ชวนถกประเด็น-สรุปภาษีทรัมป์ ในอัตราภาษี 19% สมเหตุสมผลหรือไม่ ไทยต้องปรับตัวอย่างไร และต่อไปในโลกของสงครามการค้าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดบ้าง ผ่านข้อเสนอของนักวิชาการแต่ละแขนง ในงานเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2025 สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย ได้จัดงานเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” โดยมีนักวิชาการในหลากหลายศาสตร์ร่วมถกถึงประเด็นปัญหา ทรัมป์เก็บภาษีประเทศไทย 19% เหมาะสมแล้วหรือไม่?
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศและความมั่นคง ได้ชี้ให้เห็นว่า แม้อัตราภาษีที่สหรัฐเก็บไทยในอัตรา 19% จะอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม เนื่องจากประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเองก็ถูกเก็บภาษีในอัตราที่ใกล้เคียงกัน คือ 19-20% จึงนับเป็นดีลที่ดีสำหรับประเทศไทย
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีคุณค่ามากกว่านั้นในแง่ของยุทธศาสตร์ทางพื้นที่และทรัพยาการ ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศสิงคโปร์ที่ถูกเก็บภาษีในอัตรา 10% ดังนั้นแล้วยังมีโอกาสหรือไม่ที่ไทยจะขอดีลเพิ่มเติมจากความได้เปรียบทางด้านพื้นที่และทรัพยาการ โดยอัตราภาษีที่ไทยควรจะได้รับ ควรอยู่ที่ 12%
นอกจากนี้แล้ว รศ.ดร.ปณิธาน ยังได้ชี้ให้เห็นถึง New World Order หรือระเบียบโลกใหม่ ซึ่งจะไม่ได้มีมหาอำนาจเพียงสองขั้วอีกต่อไป แต่เป็นระเบียบโลกแบบกระจายตัว แต่ละพื้นที่จะมีความได้เปรียบทางด้านยุทธศาสตร์และการค้าเป็นของตัวเอง หลายประเทศกำลังพัฒนาจุดเด่นของตัวเองในแต่ละซีกโลก ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย รัสเซีย อเมริกาใต้ รวมไปถึงอาเซียนด้วยเช่นกัน
ทางด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นใกล้เคียงกันว่า การเผชิญหน้ากับภาษีทรัมป์ในครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงมิติทางด้านเศรษฐกิจเพียงมิติเดียว แต่สิ่งเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของสงครามระยะยาวมากถึง 5 มิติ คือ Trade Wars, Technology Wars, Geopolitics Wars, Financial Wars และอาจนำไปสู่ Military Wars
ประเทศไทยจำเป็นต้องคุยกับหลายประเทศให้มากขึ้น ไม่เพียงพึ่งพาประเทศจีนหรือสหรัฐลูกเดียว แต่ในระบบ New World Order ยังมีอีกหลายชนชาติที่ไทยเราสามารถเจรจาด้วยได้ รวมไปถึงอาเซียนของเราเองที่หากรวมพลัง ก็จะมีศักยภาพไม่แพ้ภูมิภาคอื่นในโลก ทางรอดของประเทศไทยคือการมองให้ครบทุกด้าน เพื่อเข้าใจและเตรียมพร้อมรับคลื่นระลอกใหม่ที่จะซัดเข้ามาอีกหลายหนในสงครามระยะยาวครั้งนี้
ดร.กอบศักดิ์ ได้ยกเอาประโยคเด็ดของการสัมมนาในหัวข้อเกี่ยวกับภาษีของทรัมป์ที่ประเทศสิงคโปร์ครั้งหนึ่งว่า ข้อตกลงของทรัมป์ไม่ต่างอะไรจาก Napkin Deals หรือเปรียบเสมือนผ้าเช็ดหน้าที่จะโยนทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ 19% ในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ดังนั้นอย่าชะล่าใจในดีลนี้ แม้ 19% จะอยู่ในจุด Great Deals สำหรับประเทศไทยแล้วก็ตาม เพราะ Tariffs เป็นเพียงจุดเริ่มต้นยกที่ 1 และต่อไปทรัมป์จะเล่นกับภาษีประเภทอื่นๆ ด้วยแน่นอน
สุดท้าย นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นด้านการต่างประเทศและแนวโน้มทางด้านการตัดสินใจของทรัมป์ ซึ่งให้ความสำคัญกับคำว่า “Tariffs” (ภาษีศุลกากร) มากที่สุด ถึงขนาดยกให้เป็นประโยคที่สวยที่สุด รองจาก God (พระเจ้า), Love (ความรัก) และ Family (ครอบครัว)
ในการดำรงค์ตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ 1 ของโดนัลด์ ทรัมป์ เขาได้ใช้กลไกภาษีในการจัดการกับชาติคู่แข่งอย่างประเทศจีน และในการดำรงค์ตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ 2 ในครั้งนี้ เขาก็ได้นำภาษีกลับมาใช้อีกครั้งกับทุกชนชาติทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนรักบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างแคนาดา
โดยทั้งหมดเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของทรัมป์ใน 2 ด้านสำคัญ คือ
????การแก้ปัญหาหนี้สหรัฐ ซึ่งในช่วงหลายปีมานี้สหรัฐขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศเกิดหนี้ในอนาคตจำนวนมาก หนทางแก้ไขจึงเป็นการเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศชาติ โดยเป็นความเห็นเดียวกับ ดร.กอบศักดิ์ ที่ชี้ให้เห็นว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทรัมป์สามารถเก็บภาษีนำเข้าได้สูงถึง 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
????การใช้ภาษีเป็นอาวุธในการบีบบังคับประเทศต่างๆ ให้ทำในสิ่งที่ทรัมป์ต้องการ ยกตัวอย่างสิ่งใกล้ตัวที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ในสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ทรัมป์ได้ยื่นมือเข้ามาควบคุมความไม่สงบนี้โดยยกเรื่องภาษีมาขู่ให้เกิดการหยุดยิง การได้รับภาษีในอัตรา 19% จึงเป็นเหมือนรางวัลที่ทรัมป์ได้มอบให้กับประเทศที่เชื่อฟังตน ในทางตรงกันข้าม ประเทศอินเดียซึ่งละเมิดคำเตือนของทรัมป์ด้วยการดีลซื้อน้ำมันกับประเทศรัสเซีย จึงถูกลงโทษด้วยการลงดาบอัตราภาษีสูงถึง 25%
นอกจากนี้นายพิศาลได้ให้ความเห็นว่า การใช้ภาษีเป็นอาวุธของทรัมป์เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัวของทรัมป์ซึ่งอยากได้รับรางวัลโนเบล (Noble Prize) ในการดำรงค์ตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ 2 ในครั้งนี้
ดังนั้นแล้วหนทางรอดในทางการทูตของประเทศไทยในสงครามภาษีครั้งนี้ง่ายนิดเดียว เพียงรัฐบาลเขียนจดหมายประกาศสู่สาธารณชน ในประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ว่า “มีฝ่ายที่ไม่เคารพอนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) และอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) แต่ทรัมป์ได้ทำการยุติการกระทำนั้นไว้ และสมควรที่จะได้รับรางวัลโนเบล”
เพียงเท่านี้ประเทศไทยก็ได้รับประโยชน์ถึงสองเด้งคือ เป็นการประกาศถึงสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจริงในประเทศและได้ใจทรัมป์ไปพร้อมๆ กัน เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ ความรวนเรในด้านอารมณ์ของทรัมป์ก็สามารถทำให้อัตราภาษี 19% เปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะถ้าทรัมป์เชื่อแหล่งข่าวกัมพูชาที่อาจมีการบิดเบือนว่า ไทยยังไม่หยุดโจมตี
ในช่วงท้าย อดีตทูตไทยประจำสหรัฐยังได้เสนอแนะเพิ่มไปด้วยว่า ประเทศไทยควรใช้ประโยชน์จากความถือตัวของทรัมป์ กล่าวคือประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ หากได้รับคำเชื้อเชิญให้มาเที่ยวประเทศไทยจากการออกปากของกษัตริย์เอง อาจทำให้สามารถเพิ่มคะแนนความพึงพอใจแก่ทรัมป์ได้ และทำให้อัตราภาษีที่ไทยจะได้รับมีโอกาสปรับลดลงตามความพอใจนี้เช่นกัน ซึ่งโอกาสดีอยู่ไม่ไกลจากนี้นัก เนื่องจากในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ทรัมป์มีกำหนดการจะเดินทางมางาน ASEAN Summit ที่ประเทศประเทศมาเลเซียอยู่แล้ว โดยไทยสามารถใช้โอกาสนี้ในการเชิญมาไทยได้อย่างง่ายดาย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 6 สิงหาคม 2568