ไทยต้องสกัด "สินค้าสวมสิทธิ" สร้างความเชื่อมั่นทางการค้า
การเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาที่ล่าสุดได้ข้อยุติในอัตราภาษี 19 % ถือเป็นข่าวดีสำหรับภาคการส่งออกของไทย อย่างไรก็ตามความท้าทายที่สำคัญยิ่งกว่ากำลังรออยู่เบื้องหน้า
นั่นคือการจัดการกับปัญหาการสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกการเข้าถึงตลาดสหรัฐอย่างยั่งยืน การที่ไทยจะสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความจริงจังและมาตรการที่รัดกุมในการป้องกันการสวมสิทธิ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า แต่ยังเป็นการปกป้องชื่อเสียงของสินค้าไทยในตลาดโลกด้วย
รัฐบาลไทยได้แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับถิ่นกำเนิดสินค้า “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้กรมศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิอย่างเป็นรูปธรรม ประเด็นสำคัญที่ไทยต้องเจรจาต่อคือการกำหนดสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบในภูมิภาค (Regional Value Content - RVC) ที่จะถูกใช้ในการผลิตสินค้า โดยไทยเตรียมเสนอเกณฑ์ที่สูงถึง 50% ซึ่งเกินกว่าอัตราปกติที่ 40% เพื่อเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับความต้องการของสหรัฐ ในการป้องกันสินค้าจากประเทศที่สามโดยเฉพาะจีน
นอกจากการปรับปรุงระเบียบปฏิบัติแล้ว การยกระดับกระบวนการตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง กรมศุลกากร ระบุว่าที่ผ่านมาการกำกับดูแลอาจยังไม่เข้มงวดพอ เพราะเน้นการอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดการลงทุน แต่หลังจากนี้จะมีการสร้างความแข็งแกร่งของกระบวนการมอนิเตอร์และกำกับดูแลให้เข้มข้นขึ้น การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ผ่านเอกสารต่างๆ เช่น ใบสั่งซื้อและใบขนส่งสินค้าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพิสูจน์ถิ่นกำเนิดสินค้าการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบดิจิทัลมาช่วยในการตรวจสอบเอกสารจำนวนมหาศาลจะช่วยให้การทำงานรวดเร็วและแม่นยำขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย ภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางอย่างจริงจัง “วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา” รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้เสนอแนะให้กระทรวงพาณิชย์หารือกับผู้ประกอบการในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างละเอียดก่อนที่จะไปเจรจากับสหรัฐ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและมั่นใจว่าอัตรา RVC ที่เสนอจะไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ผลิตไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศสูง เช่น สินค้าไฮเทค ภาครัฐต้องทำความเข้าใจถึงความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มอย่างถ่องแท้
ความสำเร็จของการเจรจาภาษีเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ก้าวที่สำคัญยิ่งกว่าคือการสร้างระบบป้องกันการสวมสิทธิที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยการประสานงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด การดำเนินการอย่างโปร่งใสและจริงใจของไทยจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในสายตาของสหรัฐ
โดยเฉพาะสินค้าโซลาร์เซลล์ซึ่งสหรัฐ มองว่าอาจนำเข้าจากจีนมาประกอบในไทยเพียงเล็กน้อยก่อนส่งออก และช่วยให้การค้าขายระหว่างสองประเทศดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในระยะยาว ทั้งนี้การแก้ปัญหาการสวมสิทธิไม่ใช่เพียงแค่เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการรักษามาตรฐานและยกระดับภาพลักษณ์ของสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลกต่อไป
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 7 สิงหาคม 2568