4 เหตุผลที่ "ภาษีทรัมป์" จะอยู่ตลอดไป แม้ทรัมป์จะไม่อยู่
KEY POINTS
บริษัทอเมริกันที่ได้ประโยชน์จากการลดคู่แข่งจะล็อบบี้อย่างหนักเพื่อรักษานโยบายภาษีนี้ไว้
ผู้บริโภคจะเคยชินกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นจนไม่รู้สึกถึงผลกระทบ ขณะที่นักการเมืองก็ไม่อยากสูญเสียรายได้จากภาษี
โครงสร้างการแข่งขันเปลี่ยนไป ทำให้บริษัทต่างๆ หันไปเน้นการล็อบบี้เพื่อความได้เปรียบทางการค้าแทนการพัฒนานวัตกรรม
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาโดนัลด์ ทรัมป์สร้าง "ระเบียบการค้าใหม่" ที่เปลี่ยนจากระเบียบแบบเดิมมาเป็นระบบที่ภาษีถูกกำหนดตามอำเภอใจของประธานาธิบดี แคนาดาและอินเดียต้องเผชิญภาษี 35-50% เพียงเพราะทำให้ทรัมป์โกรธ ขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ต้องรีบเข้าไป “ขอดีล” เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ส่วนประเทศคู่ค้าอื่นๆ อีกหลายสิบประเทศต้องเผชิญ "ภาษีตอบโต้" 10-41% ซึ่งมีผลตั้งแต่ 7 ส.ค. 2025

จากระเบียบการค้าชุดใหม่นี้ปัจจุบันอัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยของอเมริกาพุ่งขึ้นเป็น 18% สูงกว่าเดือน ม.ค. ถึง 8 เท่า และใกล้เคียงระดับช่วง Great Depression
ใครแพ้ ใครชนะ?
ทรัมป์อ้างว่าภาษีศุลกากรเป็นการลงโทษคู่ค้าที่เอาเปรียบอเมริกา และทำให้กรมศุลกากรมีรายรับเกือบ 3หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน แต่บทวิเคราะห์ “Donald Trump’s awful trade policy will outlast him” ของดิอีโคโนมิสต์ ระบุว่า ความจริงกลับตรงข้าม นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซกส์ ระบุชัดว่าผู้บริโภคและบริษัทอเมริกันต้องแบกรับภาษี 4 ใน 5 ส่วน หรือ 80% จากภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นของทรัมป์ และเขาไม่ได้ทำร้ายแค่ประเทศคู่ค้าแต่กลับทำร้ายเพื่อนร่วมชาติของตัวเองโดยการลดการแข่งขันในตลาดเสรีซึ่งทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าที่อาจจะแพงกว่า
กรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดคือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ฟอร์ดและจีเอ็มที่ต้องจ่ายค่าภาษีมากถึง 800 ล้านและ 1.1 พันล้านดอลลาร์ตามลำดับ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 เพียงไตรมาสเดียว เศรษฐกิจอเมริกาเองก็เริ่มแสดงสัญญาณอ่อนแอ ในครึ่งแรกของปีนี้ การเติบโตต่ำกว่าคาดและเงินเฟ้อสูงอย่างน่าผิดหวัง การสร้างงานชะลอตัวลง และการสำรวจผู้บริหารแสดงว่ากิจกรรมภาคบริการอาจถึงจุดที่ “ใกล้หยุดนิ่ง”
แม้ตลาดหุ้น S&P 500 จะขยับขึ้นสูงกว่า "วันปลดแอกอเมริกา" ประมาณ 10% แต่สาเหตุหลักมาจากเอไอบูมซึ่งดันคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ "วงจรอุบาทว์ระหว่างตลาดการเงินกับการตัดสินใจของทรัมป์" อาจเกิดขึ้น อธิบายง่ายๆ คือ ตลาดอาจคาดหวังให้ทรัมป์หยุดนโยบายภาษีของเขาเมื่อเห็นเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณแย่ลง แต่เมื่อตลาดหุ้นไม่ตอบสนองอะไรมากนักอาจทำให้ทรัมป์เดินหน้านโยบายของเขาต่อไปเพราะคิดว่า “ตลาดเห็นด้วย”
4 เหตุผลที่ภาษีทรัมป์จะอยู่ตลอดไป :
บทวิเคราะห์ขอดิอีโคโนมิสต์ระบุว่า มีความเป็นไปได้จากทั้งหมด 4 เหตุผลว่า แม้ทรัมป์จะลงจากตำแหน่งไปแล้วแต่นโยบายภาษีของเขาอาจอยู่ต่อไป
เหตุผลที่ 1:
บริษัทอเมริกันจะติดยาภาษี
ปัญหาใหญ่ที่สุดคือทรัมป์ได้สร้าง "ระบบการพึ่งพิงกลไกภาษีมากเกินไป" หากประธานาธิบดีในอนาคตต้องการลดภาษี พวกเขาจะเจอกับการล็อบบี้อย่างดุเดือดจากบริษัทอเมริกันที่เคยชินกับประโยชน์ที่ได้จากภาษีศุลกากรของทรัมป์เพราะความสามารถของคู่แข่งจากต่างประเทศน้อยลงจากภาษีนำเข้าสูง ผลกระทบที่ตามมาคือความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงของบริษัทอเมริกันเหล่านั้นจะน้อยลง เมื่อถึงวันนั้นบริษัทที่ประสบความสำเร็จจะเป็นบริษัทที่ไม่ได้เก่งเพราะนวัตกรรม แต่เก่งเพราะระบบ
เหตุผลที่ 2:
ผู้บริโภคไม่รู้ว่าตัวเองเสียหาย
บทวิเคราะห์ของดิอีโคโนมิสต์ ระบุว่า หากระบบของทรัมป์อยู่ต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันเริ่มชินกับตลาดที่ไม่มีการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ ผู้บริโภคก็จะได้ใช้สินค้าและบริการที่ราคาสูงเป็นปกติจนไม่ได้รู้สึกถึงผลกระทบที่พวกเขากำลังได้รับจากภาษีที่สูงขึ้น
เหตุผลที่ 3:
นักการเมืองไม่อยากเสียรายได้ภาษี
ฝ่ายนิติบัญญัติอาจไม่เต็มใจลดภาษีศุลกากรลงเพราะนั้นหมายถึงการสละรายได้ภาษีวันนี้เพื่อ “ความเจริญรุ่งเรือง” ที่มากขึ้นในวันพรุ่งนี้
เหตุผลที่ 4:
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการแข่งขัน
ระบบใหม่นี้ทำให้บริษัทต้องเอาเงินไปจ้างล็อบบี้ยีสต์แทนที่จะไปวิจัยพัฒนาสินค้า ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ประธานาธิบดีจะเปลี่ยนอัตราภาษีหรือไม่ ผู้บริโภคเสียโอกาสได้สินค้าที่หลากหลายและมีนวัตกรรม ขณะที่ประธานาธิบดีกลายเป็นเหมือนเจ้าพ่อที่ให้ของขวัญแก่คนที่มาประจบ และลงโทษคนที่ทำให้ไม่พอใจด้วยการเก็บภาษีสูง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 8 สิงหาคม 2568