รัฐบาลลุยคลอด 4 มาตรการ "เยียวยาภาษีสหรัฐฯ" ช่วยเอกชน-เกษตรกร
รัฐบาลเตรียมพร้อมออก 4 มาตรการใหญ่ช่วยผู้ประกอบการ และเกษตรกร ได้รับผลกระทบภาษีสหรัฐฯ 19% ชี้แต่ละกลุ่มต้องการต่างกัน แนวทางช่วยเหลือมีหลากหลาย รองรับช่วงเปลี่ยนผ่าน
ประเทศไทยต้องเผชิญกับ "ภาษีทรัมป์" อัตรา 19% อย่างเป็นทางการ ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ลงนามประกาศการจัดเก็บ อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับหลายประเทศภายใต้บัญชีภาคผนวกที่ 1 หนึ่งในนั่นมีประเทศไทย และหลายประเทศในอาเซียน ถูกคิดภาษีในอัตรา 19% มีผลเป็นทางการตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 6 สิงหาคม 2568 (ตามเวลาสหรัฐฯ)
แน่นอนว่า แม้อัตราภาษีใหม่ครั้งนี้จะถูกปรับลดลงจากเดิมที่ได้เคยถูกประกาศว่าจะจัดเก็บสูงถึง 36% แต่ด้วยอัตราภาษีครั้งใหม่ ก็มีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนไม่น้อย ทำให้รัฐบาลต้องเร่งหาออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยามารองรับในทันที
ล่าสุด นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ในฐานะทีมไทยแลนด์ เปิดเผยถึงแนวทางการจัดทำมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเรียกเก็บอัตราภาษี 19% ว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตัวแทนองค์กรภาคเอกชน เพื่อออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาหลายมาตรการ คาดว่าเร็ว ๆ นี้จะได้ข้อสรุป และประกาศใช้
คลอด 3 มาตรการช่วยเอกชน :
สำหรับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการเบื้องต้น มีด้วยกัน 3 มาตรการหลัก ประอบด้วย
1)มาตรการทางด้านภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านภาษี 19% เช่น การลดหย่อยภาษี การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือการให้เครดิตภาษี เป็นต้น
2)มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) วงเงินไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท จากสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อปล่อยสินเชื่อต่อให้กับธนาคารพาณิชย์ ไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ
3)เงินอุดหนุนของรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะใช้เงินจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ กรอบวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ดำเนินการผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ
มาตรการเยียวยาดูแลรายกลุ่มสินค้า :
นายพงศ์ศรัณย์ กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เตรียมออกมาครั้งนี้ รัฐบาลได้หารือกับทางผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง โดยดูเป็นรายกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มก็มีความต้องการแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
กลุ่มอัญมณี ในช่วงแรกผู้นำเข้าอาจจะรับภาระจากภาษีสัก 40% อีก 40% ขอให้รัฐช่วยแบ่งจ่าย ส่วนอีก 20% อาจส่งต่อให้ผู้บริโภค โดยอาจจะขอเวลาปรับตัว 1-2 ปีให้สามารถปรับตัวได้ ผ่านมาตรการทางภาษี เช่น การขอลดหย่อนภาษี แทนการขอ Soft Loan และในช่วงระหว่างนี้รัฐก็หากลไกอื่น ๆ ในการเก็บคืนควบคู่กัน
อีกแนวทางหนึ่งนั่นคือการใช้กลไก ของกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ ที่ผ่านมาได้รับการอนุมัติวงเงินลงไป 10,000 ล้านบาท ก็เป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับเปลี่ยนภาคการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านภาษีครั้งนี้ ส่วนการใช้กลไกของ Soft Loan อาจจะอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องสต็อกสินค้าเอาไว้ และจำเป็นต้องมีสภาพคล่องในช่วงนั้น เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้
เร่งเจรจาข้อตกลงร่วมการค้า :
ส่วนแนวทางในการเจรจาข้อตกลงร่วมการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ (Joint Agreement) ซึ่งขณะนี้ทีมไทยแลนด์จะต้องไปเจรจารายละเอียดในรายสินค้ากว่า 1 หมื่นรายการที่จะต้องเปิดตลาดกับสหรัฐฯ สินค้าเกษตรบางรายการ จะมีกลไกในการดูแลเกษตรกรในประเทศก่อน เช่น ข้าวโพด จะรับซื้อผลผลิตในประเทศทั้งหมดก่อนที่จะพิจารณานำเข้า พร้อมประกาศราคารับซื้อผลิตในราคานำตลาด เพื่อการันตีว่าผลผลิตที่มีในประเทศจะต้องได้รับการรับซื้อทั้งหมด
ดึงกองทุน FTA เยียวยาเกษตรกร :
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า รัฐบาลยังมีแนวคิดอีกหนึ่งมาตรการผ่านการจัดสรรงบประมาณอีกส่วนหนึ่ง เพื่อเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ผ่านกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ หรือ กองทุน FTA
กองทุน FTA มีภารกิจในการสนับสนุนเงินทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ในการปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร ปฏิรูปผลิตผลทางการเกษตร หรือการปรับเปลี่ยนอาชีพจาการผลิตสินค้าที่ไม่มีศักยภาพไปสู่สินค้าที่มีศักยภาพ
สาเหตุที่ต้องจัดสรรงบประมาณอีกก้อนผ่านกองทุน FTA เพราะจะมีการปรับลดภาษีภาคเกษตรให้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่จะไม่เปิดเสรีโดยทันที โดแนวทางที่รัฐบาลวางไว้คือจะทยอยเปิดเสรีด้วยการกำหนดโควตาการนำเข้า เหมือนกับข้อตกลง FTA ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆก่อนหน้านี้ ส่วนจะจัดสรรงบประมาณให้กองทุน FTA จำนวนเท่าไหร่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการหารือกับภาคเอกชนและเกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบอีกครั้ง
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบัน กองทุน FTA ได้เข้าไปช่วยเหลือภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิด FTA กับประเทศต่างจำนวน 35 โครงการ วงเงิน 1,208.23 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่ดำเนินการสิ้นสุดแล้ว 14 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินงาน 21 โครงการ
อย่างไรก็ตามในการดำเนินการอาจต้องมีการแก้ไขระเบียบบางด้านเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการเก็บภาษีของสหรัฐฯ เพื่อสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ต่อไป
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 7 สิงหาคม 2568