อุตฯ อิเล็กทรอนิกส์จี้รัฐหนุนแบรนด์ไทย สร้าง LocalContent แข่ง เวียดนาม-มาเลย์
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มั่นใจไทยยังเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง ไม่หวั่นทรัมป์เอฟเฟ็กต์ แต่จี้รัฐเร่งปรับตัวรับมือแข่งเดือด เวียดนาม-มาเลย์เตรียมเปิดศึกแย่งลูกค้า แนะสร้างแบรนด์ไทย ช่วยพัฒนา Local Content ชูบทบาทไทยในห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์โลก
ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฏ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์และอุปนายกสมาคมเซมิคอนดักเตอร์ เปิดเผยว่า การบรรลุข้อตกลงของสหรัฐอเมริกาในการเรียกเก็บภาษีขาเข้าจากไทยในอัตรา 19% นั้น กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ประเมินว่า จะส่งผลเชิงบวกต่อประเทศไทยมากกว่าผลเสีย แม้ยังมีความจำเป็นต้องติดตามรายละเอียดของการเจรจาอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ตามมา ทั้งนี้ เรามองว่าการย้ายฐานการผลิตในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากกระบวนการผลิตมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนสูง จึงทำให้การจัดเก็บภาษีในอัตรา 19% ดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคการผลิตโดยตรง ในทางกลับกันมีแนวโน้มที่จะได้รับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่ม เนื่องจากไทยยังได้รับความเชื่อมั่นสูง โดยไตรมาสแรกของปีนี้ FDI สูงกว่า 1 ล้านล้านบาท และไม่มีสัญญาณว่าฐานการผลิตจะย้ายไปประเทศอื่น
ส่วนข้อกังวลในประเด็นสินค้าสวมสิทธิเพื่อส่งออกนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากอุตสาหกรรมเคยเผชิญกับข้อจำกัดในกรณีการสวมสิทธิสินค้าอะไหล่มาแล้วในอดีต แต่ได้มีการจัดระบบและปรับโครงสร้างภายในอย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันสามารถควบคุมและรับมือกับประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังคงกังวล คือ ความไม่ชัดเจนในรายละเอียดของอัตราภาษี 19% ที่สหรัฐกำหนด ซึ่งอาจมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขเพิ่มเติมตามมาในภายหลัง
ดังนั้น รัฐบาลและเอกชนจะต้องไม่นิ่งนอนใจ เตรียมพร้อมและวางมาตรการการค้าเพื่อเดินหน้าและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ ในขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงอยู่แล้ว อัตราภาษี 19% ที่ไทยได้รับอาจยิ่งเพิ่มความรุนแรงของการแข่งขันในอุตสาหกรรมมากขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมจึงเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งปิดช่องว่างด้านขีดความสามารถ เพื่อไล่ทันหรือแซงหน้าคู่แข่งในภูมิภาคให้ได้
โดยในระยะสั้นภายในช่วง 3 เดือนข้างหน้า กลุ่มอุตสาหกรรมมองว่าจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ และยังต้องจับตากับ 3 ตัวเลขสำคัญ ได้แก่
1) อัตราภาษี 0% เป็นอัตราภาษีเดิมที่จัดเก็บกับกลุ่มสินค้า เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ แผงวงจรรวม
2) อัตราภาษี 19% ที่สหรัฐเพิ่งประกาศใช้กับสินค้าไทยและ
3) อัตราภาษี 40% ที่อาจจะถูกเรียกเก็บกับกรณีสินค้าสวมสิทธิหรือหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งเรายืนยันว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ไม่มีการสวมสิทธิอย่างแน่นอน
ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถด้านต้นทุนการผลิต เพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและมาเลเซีย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการแข่งขันสูง ภาครัฐควรกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน เช่น ไม่ควรจำกัดบทบาทของนิคมอุตสาหกรรมไว้เพียงการขายพื้นที่ แต่ต้องควบคู่ไปกับการดึงดูดเทคโนโลยีใหม่ และการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของประเทศในระยะยาว
ขณะเดียวกัน ไทยจำเป็นต้องหันกลับมาตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ให้มากขึ้น แม้ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจะมีข้อจำกัดหลายประการ
โดยเฉพาะความซับซ้อนด้านเทคโนโลยี ซึ่งทำให้การพัฒนา Local Content เป็นไปได้ยาก เพราะในทางปฏิบัติ การเปลี่ยนซัพพลายเออร์หรือผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ต้องใช้เวลานานเกือบ 1 ปี เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบ ส่งชิ้นส่วนไปยังลูกค้าให้ทดสอบและแก้ไขก่อนจะเริ่มใช้จริงในสายการผลิต
ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่น้อยที่พยายามลงทุน Local Content มากว่า 30 ปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ประเด็นสำคัญในขณะนี้ คือ ไทยควรมีกลไกใหม่ที่สามารถดึงผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าสู่ระบบตลาดทุน เพื่อยกระดับศักยภาพในการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value) ให้กับประเทศในระยะยาว ซึ่งภาครัฐจะต้องมีบทบาทในฐานะแม่ทัพหลักในการผลักดันและประสานความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบายอย่างเป็นระบบ
ส่วนการออกมาตรการลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพนั้น ควรมุ่งเน้นไปที่แนวทางอื่นที่ไม่ใช่การลดค่าแรง เพราะแรงงานคือฟันเฟืองสำคัญที่จะขับเคลื่อนประสิทธิภาพและการเติบโตของประเทศให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน
“รัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้ Local Content อย่างจริงจัง ไม่ปล่อยให้บริษัทเทคโนโลยีที่มีฐานการผลิตและตลาดในประเทศไทย ใช้ชื่อหรือแบรนด์ที่เป็นชื่อฝรั่งเท่านั้น แต่ควรสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์และความเป็นไทย เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจและเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศและให้ผู้ประกอบการไทยมีบทบาทในห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก” ดร.สัมพันธ์กล่าว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 10 สิงหาคม 2568