ทรัมป์เก็บภาษี BRICS สูง เพิ่มโอกาสส่งออกไทย-ดันจีดีพีเกิน 2%
นักวิชาการชี้โดนัลด์ ทรัมป์เรียกเก็บภาษีกลุ่ม BRICS สูงกว่าอาเซียน เพิ่มโอกาสส่งออกไทยและดันจีดีพีโตเกิน 2%
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลทรัมป์เรียกเก็บอัตราภาษีศุลกากรประเทศต่างๆแตกต่างกันส่งผลต่อรูปแบบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
โดยเฉพาะการเก็บภาษีในอัตราที่แตกต่างกันมากระหว่างกลุ่ม BRICS และกลุ่มอาเซียน การแข่งขันระหว่างสินค้าส่งออกในกลุ่ม BRICS และอาเซียนในตลาดสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ สินค้าส่งออกบางประเภทสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
ขณะที่บางประเทศได้โอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาดใหม่ อัตราภาษีทรัมป์ที่เรียกเก็บจากกลุ่ม BRICS สูงกว่าอาเซียนค่อนข้างมาก เป็นการสร้างโอกาสสินค้าส่งออกของไทยและอาเซียนที่ต้องแข่งขันกับกลุ่ม BRICS การส่งออกอาจขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม
นอกจากนี้ ยังจะทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจากประเทศ BRICS มายังไทยและอาเซียนมากขึ้นหากส่วนต่างของอัตราภาษีศุลากรของสองกลุ่มประเทศนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้สูงกว่า 2% ได้ ภายใต้นโยบาย Liberation Tariffs
และบทลงโทษเพิ่มเติมของสหรัฐฯ กลุ่ม BRICS ต้องเผชิญภาษีสูงมาก โดยเฉพาะ จีน (55%) และอินเดีย–บราซิล (50%) ส่งผลกระทบหนักต่อสินค้าหลัก เช่น สินค้าเกษตร สิ่งทอ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักร เป็นต้น ขณะที่ แอฟริกาใต้ ถูกเก็บในระดับปานกลาง(30%) และ รัสเซีย ถูกจำกัดการค้าเกือบทั้งหมดจากมาตรการคว่ำบาตร
ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ความสามารถแข่งขันของ BRICS ในตลาดสหรัฐฯ ลดลงอย่างชัดเจน กลุ่ม ASEAN ส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการเจรจาลดภาษีภายใต้นโยบาย Trump Tariffs โดย ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ถูกปรับลดเหลือเพียง 19% จากเดิมที่สูงกว่าระดับนี้มาก ขณะที่ เวียดนาม ยังคงถูกเก็บสูงกว่าที่ 20% ส่วน สิงคโปร์ อยู่ในระดับต่ำสุดที่ 10% และ ลาว–เมียนมา ยังถูกเก็บสูงถึง40–50% การลดภาษีนี้ช่วยเพิ่มความสามารถแข่งขันของ ASEAN ในฐานะฐานการผลิต China Plus One แทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี จากการวิเคราะห์ของ DEIIT พบว่า ไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และมาเลเซีย มีศักยภาพเพิ่มส่วนแบ่งตลาดยางและผลิตภัณฑ์ยางในสหรัฐฯ หลัง BRICS ถูกเก็บภาษีสูง โดยไทย–อินโดนีเซียเด่นในยางธรรมชาติและยางรถยนต์, เวียดนามได้เปรียบในยางจักรยาน, สิงคโปร์–ไทย–มาเลเซียแข่งขันได้ดีในยางสังเคราะห์, และไทย–มาเลเซียเด่นในผลิตภัณฑ์ยางอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ความได้เปรียบเกิดจากต้นทุนแข่งขันต่ำกว่าและอัตราภาษีสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งใน BRICS อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ไทย และบางประเทศ ASEAN ได้เปรียบอย่างชัดเจนในตลาดยานยนต์และชิ้นส่วนของสหรัฐฯหลัง BRICS โดยเฉพาะ จีน และ อินเดีย ถูกเก็บภาษีสูง 50–55%
ทำให้คำสั่งซื้อรถกระบะ, รถยนต์อเนกประสงค์ดัดแปลงจากรถกะบะ, รถบรรทุก และชิ้นส่วนสำคัญมีแนวโน้มย้ายมาที่ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม ขณะที่ไทยครองความได้เปรียบในรถกระบะและยางรถยนต์, มาเลเซียเด่นในอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ และเวียดนามเสริมในสายไฟและยางมอเตอร์ไซค์ ส่งผลให้อาเซียน (ASEAN) มีโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาดแทน BRICS อย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ จีน และ อินเดีย ถูกเก็บภาษีสูงถึง 50–55% ภายใต้ Trump Tariffs ทำให้คำสั่งซื้อโทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมีแนวโน้มย้ายมายังกลุ่มอาเซียนมากขึ้นและอาจมีการย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ ASEAN มากขึ้นในอนาคต โดยเวียดนามโดดเด่นในสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ไทยแข็งแกร่งในชิ้นส่วนและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ส่วนมาเลเซียและฟิลิปปินส์มีโอกาสขยายงานในสายเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 11 สิงหาคม 2568