รวมสัญญาณจีนพลิกกลับ ยืนหยัดข้างอินเดีย หลังโดนภาษีทรัมป์ 50%
ทางการจีนแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับอินเดียในการต่อต้านมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียของสหรัฐ เป็นสัญญาณล่าสุดที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างสองชาติคู่แข่งในเอเชีย
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า นายซู เฟยหง (Xu Feihong) เอกอัครราชทูตจีนประจำอินเดีย กล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาที่กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา จากกรณีที่สหรัฐได้กำหนดภาษีนำเข้าจากอินเดียสูงถึง 50% ในจำนวนนี้ 25 % จะมีผลภายใน 21 วัน และขู่ว่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก จีนจะ “คัดค้านอย่างหนักและยืนหยัดเคียงข้างอินเดียอย่างมั่นคง เพื่อธำรงไว้ซึ่งระบบการค้าพหุภาคี โดยมีองค์การการค้าโลกเป็นแกนหลัก”
นายซู กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ Shanghai Cooperation Organisation (SCO) ซึ่งจะจัดขึ้นปลายเดือน ส.ค. นี้ ณ เมืองเทียนจิน ประเทศจีน โดยคาดว่า นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของอินเดีย จะพบปะกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิงของจีนในโอกาสดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการเดินทางเยือนจีนครั้งแรกในรอบ 7 ปี ของนายโมดี
อีกทั้งยังวิจารณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือต่อรอง เพื่อขูดรีดราคาที่สูงเกินจริงจากประเทศต่าง ๆ “เมื่อเผชิญกับการกระทำดังกล่าว การนิ่งเฉยหรือการประนีประนอม มีแต่จะทำให้ผู้รังแกกล้ามากขึ้นเท่านั้น”
นายซูย้ำคำพูดของตนเองอีกครั้งบนแพลตฟอร์ม X โดยแสดงความขอบคุณต่อผู้คน “ที่ดูแลและสนับสนุนความสัมพันธ์จีน-อินเดียมาอย่างยาวนาน”
ความสัมพันธ์จีน-อินเดีย กำลังดีขึ้น :
หลังจากมีข้อพิพาทด้านเขตแดนมานานหลายทศวรรษ ล่าสุดจีนและอินเดียตกลงที่จะสำรวจการกำหนดเขตแดนเพื่อพิจารณาปรับเทียบความสัมพันธ์ใหม่ ท่ามกลางความตึงเครียดจากภาษีทรัมป์
กระทรวงการต่างประเทศอินเดียแถลงการณ์เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ว่า จีนและอินเดียจะจัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญขึ้นเพื่อพิจารณาข้อตกลงชั่วคราวในการกำหนดเขตแดน ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า คณะผู้เชี่ยวชาญจะสำรวจการเจรจากำหนดเขตแดนในพื้นที่ที่มีเงื่อนไขเหมาะสม โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นพื้นที่ใด
ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่นายหวัง อี้ (Wang Yi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน มาเยือนอินเดียเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา นายเหมา หนิง (Mao Ning) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุความเข้าใจร่วมกันแบบใหม่ “ผลลัพธ์ที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้ควรได้รับการยกย่อง”
อินเดียพึ่งพาจีนในการนำเข้าแม่เหล็กที่ผลิตจากแร่หายาก (แรร์เอิร์ท) เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานหมุนเวียน และเครื่องใช้ไฟฟ้า การควบคุมการส่งออกแม่เหล็กแรร์เอิร์ทของจีน จึงส่งผลกระทบให้ภาคยานยนต์ของอินเดียหยุดชะงัก เมื่อช่วงต้นปี 2025 ที่ผ่านมา
ในขณะที่จีนต้องการอินเดีย กล่าวคือ รัฐบาลจีนมีแรงจูงใจที่จะรักษาความสัมพันธ์กับอินเดีย เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ชะลอตัวลง ตลาดผู้บริโภคของอินเดียซึ่งขับเคลื่อนด้วยประชากรจำนวนมหาศาล จึงเป็นในหนึ่งตลาดสำคัญที่จีนต้องการขยายธุรกิจไป ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนอย่าง Xiaomi หรือรถยนต์ EV อย่าง BYD ก็มีฐานผู้บริโภคที่หนาแน่นอยู่ในอินเดีย
กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในอินเดียร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทจีน :
เกาตัม อาดา นี (Gautam Adani) มหาเศรษฐีชาวอินเดีย เจ้าของ Adani Group บริษัทอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาประเทศจำนวนมาก ได้เดินทางเยือนจีนเพื่อพบปะผู้บริหารของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดของโลกสัญชาติจีน และได้เจรจาเบื้องต้นกับ BYD บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการผลิตแบตเตอรี่ที่อาจเกิดขึ้น
ในขณะที่ JSW Group อีกหนึ่งบริษัทใหญ่ในอินเดีย ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ เหล็ก พลังงาน และปูนซีเมนต์ ได้บรรลุข้อตกลงกับ Chery Automobile บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน เพื่อจัดหาเทคโนโลยีและส่วนประกอบสำหรับการพัฒนารถยนต์ EV
จากความเคลื่อนไหวล่าสุด แสดงให้เห็นว่าสองประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชียได้เริ่มกลับมาสานสัมพันธ์อันดีและสนับสนุนกัน เพื่อแก้ไขปัญหาภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์แล้ว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 23 สิงหาคม 2568