"พิชัย" ถกรับมือผลกระทบภาษี ชงแก้ พรบ.กองทุนเพิ่มขีด-หวั่นตกงานพุ่ง
"พิชัย" นัดถกคณะทำงานรับมือผลกระทบภาษี "ทรัมป์" ขณะที่สัปดาห์หน้าชง ครม. แก้กฎหมายกองทุนเพิ่มขีดแข่งขัน-เปิดทางช่วยผู้ประกอบการรูปแบบ “เงินให้เปล่า” ขณะที่ “สำนักวิจัย” หวั่นพิษภาษีสหรัฐกระทบจ้างงานครึ่งปีหลัง-หนี้เสียพุ่ง ฟาก “เลขาฯ สศช.” ประเมินคนตกงานเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มากเหมือนช่วงโควิด
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในเร็ว ๆนี้ จะมีการประชุมนัดแรกของคณะทำงานเสริมสร้างศักยภาพและรองรับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธาน หลังจากรักษาการนายกรัฐมนตรีลงนามคำสั่งแต่งตั้ง ซึ่งคณะทำงานชุดนี้จะมีทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน (กกร.) และภาคเกษตรที่เกี่ยวข้อง
“ผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐที่จะต้องทำเรื่องเข้าสภา อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน เพราะยังเจรจาในรายละเอียดไม่เสร็จ อย่างเรื่อง RVC (เกณฑ์การคํานวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค) ต้องรอทางสหรัฐสรุปออกมาว่าจะเป็นเท่าไหร่ ตอนนี้เราก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้”
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในส่วนเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบในช่วงเปลี่ยนผ่าน สัปดาห์หน้า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) แก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันมีเงินทุนอยู่ 15,000 ล้านบาท เพื่อใช้ช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ได้ รวมถึงสนับสนุนอุตสาหกรรรมเป้าหมายได้จริง
“การแก้ไขสาระสำคัญ อาทิ การกำหนดว่าอุตสาหกรรมเป้าหมายแบบใดที่มีผลกระทบแค่ไหนจะได้รับการช่วยเหลือ ขณะเดียวกันเดิมเคยกำหนดให้เงินเฉพาะบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย แต่ก็จะเปิดกว้างสำหรับบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นอยู่ด้วย และการใช้เงินกองทุน เดิมจะสนับสนุนในลักษณะแมตชิ่งฟันด์ แต่จะปรับให้มี Grant หรือเงินช่วยเหลือในลักษณะให้เปล่าด้วย”
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า มองไปข้างหน้ามีความเสี่ยงแรงงานจะลดลง จากกิจกรรมภาคผลิตที่ปรับลดลง โดยประเมินว่า ดัชนีภาคการผลิต (MPI) ปีนี้ จะหดตัว 1-2% ซึ่งจะส่งผลต่อการจ้างงาน โดยล่าสุดมีตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่ พบว่า ณ เดือน มิ.ย. 2568 แรงงานหายไปแล้ว 2.89-2.9 แสนคน เหลืออยู่ที่ 6.3 ล้านคน จากสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 6.6 ล้านคน
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ผลกระทบต่อภาคการผลิตและการจ้างงาน คาดจะเริ่มเห็นในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อ (Order) จะเห็นล่วงหน้า 3-4 เดือน ซึ่งคาดว่าคำสั่งซื้อจะชะลอลงบ้าง แต่การจ้างงานยังคงไม่ได้ลดลงในทันที อาจจะต้องรอดูคำสั่งซื้อในปี 2569 เพราะหากไทยไม่ได้เสียเปรียบคู่แข่งทางด้านภาษีมากนัก จะเป็นเรื่องของอัตราส่วนกำไร (Margin) ของผู้ประกอบการแต่ละราย ว่าจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่มากกว่า
“หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี ล่าสุด แล้วธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยตามทันที สิ่งที่ กนง.คาดหวังจะเป็นกระสุนในการช่วยลดต้นทุนและเร่งการปรับตัวของผู้ประกอบการ ในเรื่องของการแข่งขัน และช่วยยกระดับมาร์จิ้นในช่วง 5-6 เดือนข้างหน้า”
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน กลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า มองไปข้างหน้า Reciprocal Tariffs จะมีผลต่อภาคการผลิตที่มีสัดส่วนราว 20-30% ของ GDP และการจ้างงานพอสมควร โดยมีสิ่งที่น่าห่วง 2-3 เรื่อง คือ 1.หากภาษีเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการลดราคาสินค้าเพื่อให้แข่งขันได้ และคงจำนวนสินค้าไว้เท่าเดิม หากผู้ประกอบการกำไรลดลง แต่มาลดต้นทุน ก็จะลดชั่วโมงการทำงานลง
2.เมื่อลดชั่วโมงทำงาน แรงงานที่พึ่งพารายได้จากการทำงานล่วงเวลา (OT) จะรายได้น้อยลง จะกระทบการผ่อนชำระหนี้ และ 3.รายได้ที่ปรับลดลง ทำให้คนใช้จ่ายได้น้อยลง ซึ่งจะกระทบต่อไปยังภาคผลิตอีกครั้ง ทำให้การลดชั่วโมงการทำงาน ลด OT อาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้บริษัทอยู่ได้ อาจจะนำไปสู่การตัดสินใจลดจำนวนคนในที่สุด
“ภาคผลิตของเราซึมมาหลายปี และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ที่จะเริ่มมีผลจากนโยบายภาษี Tariffs ที่ 19% ส่งผลต่อการส่งออก และการขายของที่ยากมากขึ้น ส่งผลต่อภาคผลิตที่แย่ลง สะท้อนไปยังตลาดแรงงาน กระทบการใช้จ่ายน้อยลง เป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามผลกระทบต่อเนื่อง หากไม่มีมาตรการชัดเจนที่เข้ามาช่วย โดยเฉพาะผู้ประกอบการสายป่านสั้น และ Margin ในกลุ่มที่ค่อนข้างบาง เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร หรือกลุ่มที่ใช้ Local Content ไม่เกิน 10-15% เป็นต้น มีความเสี่ยงที่จะได้ผลกระทบหนักกว่ากลุ่มอื่น”
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้ในกลุ่มภาคการผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามสัญญาณของภาคการส่งออกที่ชะลอตัวลงจาก Reciprocal Tariffs โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นบ้าง จากภาคการผลิตที่ชะลอตัว แต่คงไม่รุนแรง เหมือนช่วงสถานการณ์โควิด เนื่องจากอัตราภาษีที่ออกมา มีผลกระทบแต่ไม่หนักเหมือนที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 22 สิงหาคม 2568