"ข่าวร้าย" ปน "ข่าวดี" เศรษฐกิจไทยครึ่งปี 2568
KEY POINTS :
* เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรก 2568 ขยายตัวชะลอลง โดยมีปัจจัยลบหลักจากความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กระทบการค้า, ปัญหาอุทกภัยในภาคเหนือ และกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ
* ท่ามกลางปัจจัยลบ ยังมีปัจจัยบวกช่วยพยุงเศรษฐกิจ ได้แก่ โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐ, การลงทุนครึ่งปีแรกที่เพิ่มขึ้น 138% และ มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ เช่น การตรึงค่าไฟฟ้า
* ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบรุนแรง ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนลดลงกว่า 32% และกระทบประชาชนในพื้นที่กว่า 7.7 แสนคน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม
คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ "ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส" ฉบับ 4,125 "ว.เชิงดอย" ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจากไตรมาส 1/2568 ที่ขยายตัว 3.2% ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 1.8-2.3% (ค่ากลางประมาณ 2%) การชะลอตัวเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ได้แก่ ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อกิจกรรมการค้าชายแดน, ปัญหาอุทกภัยและน้ำป่าไหลหลากในภาคเหนือ เช่น จังหวัดน่าน และ เชียงราย ทำให้บ้านเรือน โรงงาน และ ชุมชนได้รับผลกระทบ
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 86.6 ลดลงจาก 87.7 ในเดือนมิถุนายน 2568 โดยสาเหตุหลักมาจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และอุทกภัย ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการค้าและการผลิต มูลค่าการค้ารวมเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ 10,907.53 ล้านบาท ลดลง 32.29% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และ ลดลง 23.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำลังซื้อในประเทศชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าคงทน เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องจักรกล
ขณะที่ “ปัจจัยลบกระทบเศรษฐกิจ” มีทั้ง
1)กรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กระทบการค้าชายแดนและความเชื่อมั่นนักลงทุน ส่งผลต่อผู้ประกอบการที่มีธุรกิจใกล้แนวชายแดน
2)อุทกภัยภาคเหนือ จังหวัดน่าน และ เชียงราย เผชิญน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมบ้านเรือน โรงงาน และโครงสร้างพื้นฐาน
3)แรงกดดันจากภาษี Reciprocal Tariff ที่อัตราภาษี 36% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568 ส่งผลกระทบความสามารถแข่งขันของภาคธุรกิจ และ SMEs
4)ปัจจัยงบประมาณและกำลังซื้อ เกิดความกังวลเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568, กำลังซื้อภายในประเทศชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคคงทน
ท่ามกลางปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ ก็ยังมี “ปัจจัยบวก” จากโครงการของรัฐ ได้แก่ 1.โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568” ที่มีจำนวน 500,000 สิทธิ์ งบประมาณ 1,750 ล้านบาท ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและท้องถิ่น 2.การลงทุน ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.06 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% จากปีก่อน ช่วยยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงานภาคอุตสาหกรรม 2.ราคาน้ำมันทรงตัว ช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ 3. มาตรการพลังงานและค่าครองชีพ ค่าไฟฟ้าตรึงอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย (ก.ย.-ธ.ค.68), ส่งเสริมติดตั้ง Solar Rooftop ลดต้นทุน, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (เริ่ม 1 ต.ค. 68) บรรเทาภาระค่าครองชีพ
ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้ 1.เร่งเยียวยาผู้ประกอบการชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยการ สนับสนุนให้กลับมาดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็ว, ลดความเสี่ยงการลงทุนในระยะยาว 2.สนับสนุนสินเชื่อและสภาพคล่อง ด้วยมาตรการดอกเบี้ยต่ำหรือเงื่อนไขผ่อนปรน, ช่วย SMEs และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษี Reciprocal Tariff 3.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานน้ำ ด้วยการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยภาคเหนือ, เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักและกระจายน้ำ ฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำอย่างยั่งยืน
เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรก 2568 ขยายตัวชะลอตัวจากปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งข้อพิพาทชายแดน อุทกภัย และ แรงกดดันทางการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการรัฐ การลงทุนภาคอุตสาหกรรม และ มาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยสรุป... “เศรษฐกิจไทย” ยังมีแนวโน้มเติบโต แต่ต้องเผชิญแรงเสียดทานสูงจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก การประคับประคองด้วยมาตรการรัฐและ การลงทุนภาคเอกชน จะเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพและขยายตัวอย่างยั่งยืนในปี 2568
ไปที่...สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ยังสั่นสะเทือนวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนทั้ง 7 จังหวัด ที่ต้องเผชิญทั้งเสียงปืนใหญ่-กับระเบิด และ การอพยพหลบภัยอย่างไม่คาดคิด ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกรัฐบาล สรุปสถานการณ์ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2568 ว่า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย รายงานว่า มีประชาชนกว่า 779,000 คน ได้รับผลกระทบ ครอบคลุม 262,551 ครัวเรือน ใน 7 จังหวัด 45 อำเภอ 336 ตำบล 4,081 หมู่บ้าน บ้านเรือนได้รับความเสียหาย 705 หลัง ซ่อมแซมแล้ว 331 หลัง (46.9%),
รัฐบาลอนุมัติเงินช่วยเหลือฉุกเฉินแล้ว 201 ล้านบาท ครอบคลุมค่าอาหาร ที่พักพิง ค่ารักษาพยาบาล และการจัดการศพ, การเยียวยาโดยตรงแก่ผู้ประสบภัยจ่ายแล้วกว่า 17.6 ล้านบาท, สิ่งของบรรเทาทุกข์กว่า 2 ล้านหน่วย ถูกลำเลียงสู่พื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำดื่ม ถุงยังชีพ เครื่องนุ่งห่ม ตลอดจนเครื่องจักรกลสาธารณภัย, จังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และ สุรินทร์ ซึ่งกลายเป็นแนวหน้าของทั้งการเผชิญเหตุ และ การรองรับผู้พลัดถิ่นจากการอพยพ
สำหรับการดำเนินการของรัฐบาล ดำเนินการควบคู่ทั้งการช่วยเหลือ และ การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้น 3 ด้านสำคัญคือ 1.การดำเนินคดีตามกฎหมายระหว่างประเทศ เอาผิดผู้ที่ละเมิดอธิปไตย 2.การเก็บกู้วัตถุระเบิด-ตรวจสอบโดรน เพื่อป้องกันการโจมตีซ้ำและสร้างพื้นที่ปลอดภัย 100% สำหรับการอพยพ 3.การบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด ต่อผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบบินโดรน หรือ ฝ่าฝืนประกาศข้อห้าม ในขณะที่ประชาชนต้องเผชิญความยากลำบากจากการอพยพและความไม่แน่นอน กระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งเปิด “ช่องทางการตลาด-การค้าชายแดน” เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการท้องถิ่น ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่ให้ซ้ำเติมวิกฤติความมั่นคง
วิกฤติชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งนี้ อาจยังไม่จบง่าย ๆ แต่สิ่งที่ชัดเจน คือ ภาครัฐได้ขับเคลื่อนเต็มกำลัง ทั้ง ด้านความมั่นคง กฎหมาย มนุษยธรรม และ เศรษฐกิจ เพื่อดูแลประชาชนเกือบ 8 แสนคน ที่ได้รับผลกระทบ “ว.เชิงดอย” มองว่า ท่ามกลางความตึงเครียดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เสียงของชาวบ้านที่ชายแดน คือ สิ่งที่สะท้อนความจริงที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว “ความมั่นคงของรัฐ” ไม่ได้วัดกันแค่การปกป้องแผ่นดิน แต่ต้องวัดจากการดูแลชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อยให้ อยู่เย็น เป็นสุข ด้วยเช่นกัน
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 24 สิงหาคม 2568