"ธุรกิจไทย" ปรับตัวอย่างไร? ในยุค "ทุนนอก" รุกคืบ – แข่งขันรุนแรง
KEY POINTS
* ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารขนาดเล็ก กำลังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงและไม่เป็นธรรมจากทุนต่างชาติ ซึ่งถูกมองว่ามีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและใช้วิธีการที่ผิดกฎหมาย เช่น นอมินี และการตัดราคา
* ผลสำรวจชี้ว่าผู้ประกอบการไทยกว่า 2 ใน 3 ได้รับผลกระทบหนัก ต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น เสี่ยงต่อการขาดทุน และไม่มั่นใจว่าธุรกิจจะอยู่รอดได้หากสถานการณ์ยังคงเดิม
* ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่ามาตรการกำกับดูแลธุรกิจต่างชาติของภาครัฐยังไม่มีประสิทธิภาพ และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยก็ยังสื่อสารไม่ทั่วถึงและไม่ตรงตามความต้องการ
* ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขคือ ภาครัฐต้องยกระดับการกำกับดูแลทุนต่างชาติให้เข้มงวดขึ้น ควบคู่ไปกับการเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการไทยผ่านการสนับสนุนด้านเงินทุน การพัฒนาทักษะ และส่งเสริมการรวมกลุ่ม
ธุรกิจไทยนอกจากจะต้องเผชิญกับการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศ แล้วปัจจุบันการเข้ามาของผู้ประกอบการต่างชาติ ที่เข้ามาเปิดตลาดจำหน่ายสินค้าในประเทศไทย ทำให้การแข่งขันทางธุรกิจนั้นรุนแรงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศต้องมีการปรับตัว รองรับการแข่งขัน ขณะที่ภาครัฐก็ควรมีการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในสภาวะแบบนี้เช่นกัน
ในการแถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 2/2568 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง “ความท้าทายของผู้ประกอบการไทย ท่ามกลางการเข้ามาของทุนต่างชาติ”
โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับบริษัท ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จำกัด (SAB) เปิดเผยผลสำรวจทัศนคติของผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหารขนาดเล็ก (Small) และรายย่อย (Micro) ใน 5 จังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ บุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และเชียงใหม่ ต่อการเข้ามาลง
ทุนของต่างชาติในช่วงหลังโควิด-19
ผลสำรวจชี้ว่า ผู้ประกอบการไทยกว่า 81.5% เห็นว่าธุรกิจโรงแรมและอาหารของต่างชาติขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยกว่าครึ่งมองว่าเป็นการเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย เช่น ใช้นอมินี เปิดโปรโมชั่นตัดราคา และร่วมมือกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อผูกขาดลูกค้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยกว่า 68% มองว่าเกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กซึ่งได้รับผลกระทบหนัก สูญเสียลูกค้าและส่วนแบ่งการตลาด
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบการไทยราว 1 ใน 3 ต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งค่าวัตถุดิบ อุปกรณ์ และค่าแรง ส่งผลให้มีความเสี่ยงขาดทุนและเริ่มมีปัญหาการชำระหนี้ ขณะที่มากกว่า 1 ใน 3 ไม่มั่นใจว่าธุรกิจจะอยู่รอดได้ หากการแข่งขันจากต่างชาติยังรุนแรงต่อเนื่อง แม้ผู้ประกอบการหลายรายพยายามปรับตัว แต่กว่า 2 ใน 3 ของโรงแรม และกว่า 58% ของร้านอาหาร ระบุว่าสถานการณ์ธุรกิจยังไม่ดีขึ้น
ผู้ประกอบการยังสะท้อนว่า การเข้ามาของต่างชาติส่งผลกระทบต่ออัตลักษณ์ท้องถิ่น ทำให้ชุมชนประสบปัญหาสาธารณูปโภคตึงตัว ขยะและมลภาวะเพิ่มขึ้น รวมถึงอาจนำไปสู่ปัญหาสังคม เช่น การทะเลาะวิวาทหรือยาเสพติด อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการบางส่วนราว 25% มองว่าเป็นโอกาสเช่นกัน เพราะช่วยดึงนักท่องเที่ยวและกระตุ้นให้พัฒนาธุรกิจของตนเอง
แม้ไทยจะมีมาตรการกำกับดูแลธุรกิจต่างชาติ เช่น พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และมาตรการป้องกันฟอกเงิน แต่ ผู้ประกอบการกว่า 85% มองว่าภาครัฐยังไม่สามารถจัดการกับการลงทุนผิดกฎหมายได้จริง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น สิงคโปร์ที่บังคับให้ต่างชาติจดทะเบียนผ่านบริษัทรับจดทะเบียน, สหรัฐฯ ที่บังคับให้รายงานผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง และมาเลเซียที่จำกัดสัดส่วนการถือหุ้นตามระดับโรงแรม พร้อมทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ
สำหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย รัฐเคยมีทั้งอบรมด้านการบริหารจัดการ และให้เงินทุน แต่ผู้ประกอบการกว่า 40% ระบุว่าแทบไม่รับรู้มาตรการ ขณะที่กว่า 85% เห็นว่าการสื่อสารยังไม่ทั่วถึง และเกือบ 87% ชี้ว่ามาตรการยังไม่ตรงความต้องการ
สำหรับแนวทางในการสร้างความเป็นธรรม และความยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการในภาคธุรกิจไทยมีแนวทางดังนี้
1)ยกระดับการกำกับดูแลทุนต่างชาติ
โดยในประเทศการเข้ามาลงทุน ควรมีการกำหนดให้การจดทะเบียนนิติบุคคลของต่างชาติต้องทำผ่านบริษัทรับจดทะเบียน เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ชัดเจน ธุรกิจทุกประเภทต้องรายงาน ผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (Beneficial Owner) ต่อหน่วยงานรัฐ ต้องมีการตรวจสอบรายชื่อกรรมการ ผู้ถือหุ้น และที่ตั้งสำนักงานที่ใช้จดทะเบียนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการใช้นอมินีบังหน้า
กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในธุรกิจ เช่น โรงแรม แบ่งตามระดับดาว หรือขนาดกิจการ เพื่อไม่ให้ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำตลาดทั้งหมด โดยในด้านการดำเนินธุรกิจ ต้องมีการตรวจสอบที่ เข้มงวด ต่อเนื่อง และครอบคลุมทุกขนาดธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อย รวมทั้งพิจารณาให้เชื่อมโยงข้อมูลผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการหลีกเลี่ยงกฎหมาย พัฒนาช่องทางการรับแจ้งเบาะแสจากผู้ประกอบการไทยหรือประชาชน ให้สามารถรายงานการดำเนินธุรกิจที่ผิดกฎหมายได้สะดวก
2)เสริมความแข็งแกร่งผู้ประกอบการไทย โดยภาครัฐควรที่จะ สนับสนุนด้านเงินทุนให้กับผู้ประกอบการไทย เช่น จัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อการเริ่มต้น ปรับปรุง และต่อยอดธุรกิจ ผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการ เช่น หลักประกันหรือคุณสมบัติผู้กู้ พัฒนา แหล่งเงินทุนใหม่ ที่เหมาะกับผู้ประกอบการรายย่อย พัฒนาทักษะและองค์ความรู้
รวมทั้งสนับสนุนให้มีการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมด้านการตลาด การบริหารการเงิน การบัญชี และภาษี จัดตั้ง ศูนย์ดูแลธุรกิจตลอดวงจร ที่ให้บริการอบรม ให้คำปรึกษา และติดตามผล ส่งเสริมการรวมกลุ่มและจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ กระตุ้นให้ผู้ประกอบการรวมตัวในรูปแบบ สมาคมหรือเครือข่าย การจับคู่ธุรกิจระหว่างโรงแรม ร้านอาหาร และกิจการอื่น ๆ ในห่วงโซ่การท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองและขยายโอกาสทางการตลาด
นอกจากนั้นควรมีการยกระดับการสื่อสารมาตรการรัฐ ปรับปรุงการประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงและเข้าใจง่าย อธิบายเงื่อนไขและประโยชน์ของโครงการต่าง ๆ อย่างชัดเจน จัดทำระบบติดตามขั้นตอนการสมัครเข้าร่วมมาตรการให้สะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสที่จะอยู่รอดและแข่งขันได้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 31 สิงหาคม 2568