"ไทย-อินโด" คนป่วยแห่งอาเซียน กับอดีตการเมืองที่ถูกฉายซ้ำ ทำเศรษฐกิจแย่
ขณะที่เศรษฐกิจของมาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากแรงหนุนภายในประเทศและการลงทุนภาคเอกชนที่คึกคัก ความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับส่งให้ไทย และอินโดนีเซียลงไปอยู่ท้ายตารางในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
ในห้วงเวลาที่สถานการณ์การเมืองมีความผันผวนสูง หลายประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์กำลังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนภาคเอกชนที่คึกคัก หรือการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง "ไทย" และ "อินโดนีเซีย" กลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เข้ามากดดันให้เศรษฐกิจที่เคยคาดว่าจะเติบโตต้องชะลอตัวลง
‘มาเลเซีย-เวียดนาม-ฟิลิปปินส์’ ดาวรุ่งเศรษฐกิจอาเซียน :
เริ่มต้นที่ "มาเลเซีย" ที่ได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงมีความแข็งแกร่งได้ ช่วยส่งเสริมให้กำลังในการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีมากขึ้น และยังมีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มด้านการลงทุนของประเทศก็ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะได้รับการสนับสนุนภาคเอกชนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021
หลายบริษัทที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลมาเลเซีย ยังสนับสนุนด้านการลงทุนภายในประเทศ สร้างความคืบหน้าในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจผ่านโครงการของรัฐบาล อย่าง เขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์
สำหรับ "เวียดนาม" ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในครึ่งปีแรก ได้สะท้อนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่มากถึง 7.5 %
แม้ศูนย์ประเมินภาพรวมตลาดระดับนานาชาติ MIA asia จะเตือนว่า การเร่งอัตราการเติบโตที่มากจนเกินไปของเวียดนาม อาจสร้างความเสี่ยงให้ประเทศต้องเผชิญกับเหตุการณ์วิกฤตสินเชื่ออย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2010-2012
แต่แผนการลงทุนที่เน้นโครงสร้างพื้นฐานของเวียดนามมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขข้อจำกัดด้านเงินทุน และยังเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตสำหรับภาคเอกชนและตลาดหุ้นไปพร้อมกันด้วย
ในอีกด้านหนึ่ง "ฟิลิปปินส์" ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ตัวเลขการส่งออกยังคงแข็งแกร่ง แม้เศรษฐกิจจะมีความไม่แน่นอน จากปัจจัยภายนอก เช่น การขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ แต่ภาคการผลิตของประเทศยังคงขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เศรษฐกิจไปข้างหน้า
นอกจากนี้ ตัวเลขการส่งออกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ Maybank ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตสำหรับการส่งออกในปี 2025 นี้ เป็น 12.3% จากเดิมที่ 9.9%
‘อินโดนีเซีย’ เศรษฐกิจที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย
การสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัยกว่า 3000 ดอลลาห์ให้แก่สมาชิกรัฐสภาทุกคนในอินโดนีเซีย ได้ลุกลามกลายเป็นการประท้วงที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ประเทศเคยพบเห็นในรอบหลายทศวรรษที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดย หนึ่งในนั้นคือคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ถูกรถหุ้มเกราะของตำรวจพุ่งชนจนเสียชีวิต
บ้านพักของผู้กำหนดนโยบายหลายคนที่ตกเป็นเป้าของความเกลียดชัง ได้ถูกรื้อค้นและปล้นเอาสิ่งมีค่า หนึ่งในนั้นคือบ้านพักของ ศรี มุลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอินโดนีเซีย
สถานการณ์การประท้วงส่งผลให้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียและค่าเงินรูเปียห์ร่วงลง หนักที่สุดในรอบหลายเดือน โดยลดลงมามากถึง 3.6% ก่อนที่จะฟื้นตัว และส่งผลให้ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BOI) ต้องเร่งเข้าแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ความตึงเครียดทางการเมืองที่ยืดเยื้ออาจส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการลงทุนชะลอตัวเพื่อรอดูสถานการณ์ แม้ว่ารัฐบาลจะยอมเปลี่ยนแปลงนโยบายหลายข้อเพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม และยกเลิกสวัสดิการของสมาชิกรัฐสภาที่ตกเป็นข้อวิจารณ์แล้วก็ตาม แต่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลยังคงมีอยู่ และยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
สำนักข่าวบิสสิเนส ไทมส์ รายงานความเห็นของ ราธิกา ราอู นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ DBS ว่า
“หากการแก้ไขปัญหา และการยื่นข้อเสนอเพื่อประนีประนอมของรัฐบาลถูกมองว่าไม่เพียงพอ การลุกฮือจากความไม่พอใจของผู้ประท้วง อาจทำให้อุปสงค์ในการบริโภค การท่องเที่ยว และการลงทุนของประเทศลดลง”
หลายฝ่ายคิดว่าการยกเว้นภาษีน้ำมันปาล์ม และการเสียภาษีนำเข้าให้แก่สหรัฐ ที่น้อยกว่าจีนและอินเดียจะทำให้ผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในครั้งนี้บรรเทาเบาบางลงไปได้ แต่คาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในปีนี้ยังคงต่ำกว่า 5%
เศรษฐกิจของอินโดนีเซียในปัจจุบันนั้นแขวนอยู่บนเส้นด้ายบาง ๆ ที่ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภายในประเทศ อาจขยายให้ปัญหาเศรษฐกิจจากภายนอกให้รุนแรงขึ้นได้ทุกเมื่อ
‘ไทย’ คนป่วยแห่งอาเซียน :
สำหรับ "ประเทศไทย" การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ต้องยุติบทบาทในฐานะนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ส.ค ได้เปิดทางให้กับการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกุล
แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สร้างความวิตกกังวลว่า จะทำให้เกิด “เสถียรภาพทางการเมืองแค่เพียงชั่วคราว” เท่านั้น เนื่องจากเงื่อนไขของพรรคฝ่ายค้านที่รัฐบาลจะต้องยุบสภา และจัดให้เกิดการเลือกตั้งภายในระยะเวลาสี่เดือนนับตั้งแต่รัฐบาลของนายอนุทินแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
สำนักข่าวบิสิเนส ไทมส์ ยังรายงานความเห็นของ ชัว ฮัก บิน และเอริกา เทย์ นักวิเคราะห์จาก Maybank ที่กล่าวถึง การปิดพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาและเมียนมาว่า อาจ ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว
และการค้าระหว่างพรมแดนที่มีมูลค่ารวมกว่า 570,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระหว่างไทยเมียนมาและไทยกัมพูชา โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่ส่วนใหญ่ทยอยกลับสู่ประเทศจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง ทำให้ประเทศไทยขาดแคลนแรงงาน โดยทั้งสองได้กล่าวว่า
“ความผันผวนทางการเมืองที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต ภาคบริการ และอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศไทย”
ตลาดหุ้นไทยซึ่งโดยปกติแล้วจะ “เคยชิน” กับความวุ่นวายทางการเมือง กลับผันผวนตั้งแต่ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติถอดถอนนางสาวแพทองธาร โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ร่วงลงกว่า 9.7% โดยคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย
ด้านนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ซึ่งเป็นวันที่นายอนุทินได้ประกาศตัวเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า
“ถ้าหากการเมืองของประเทศเข้าสู่ภาวะชะงักงัน แน่นอนว่าความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็จะเพิ่มขึ้นด้วย และหากการผ่านร่างงบประมาณเป็นไปด้วยความล่าช้า เศรษฐกิจไทยก็อาจตกอยู่ในความเสี่ยง” โดยจากการประเมินของธปท. การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2526 จะลดลงเหลือเพียง 1.7% จากเดิมที่มองไว้ที่ 2%”
ท้ายที่สุด สถานการณ์เศรษฐกิจในอินโดนีเซียและไทย ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ความไม่แน่นอนทางการเมือง ถือเป็น ปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
ในช่วงเวลาที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์เดินหน้านโยบายส่งเสริมการเติบโตของประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การผลักดันภาคการผลิต และการส่งออก
แต่ไทยและอินโดนีเซียกลับต้องเผชิญกับ “ความขัดแย้ง” จากทั้งภายในและภายนอกอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ การกำหนดนโยบายที่ไม่เหมาะสม และปัญหาพรมแดนระหว่างประเทศ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคลดลงอย่างอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองขึ้นมาใหม่ให้ได้เร็วที่สุด จึงเป็นพันธกิจที่สำคัญของรัฐบาลนายอนุทิน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่และพาประเทศกลับเข้าสู่เส้นทางการเติบโตที่แข็งแกร่งอีกครั้ง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 9 กันยายน 2568