รัฐบาลใหม่ปัดฝุ่น "คนละครึ่ง" พยุงเศรษฐกิจฝ่ามรสุมครึ่งปีหลัง
เปิดสูตรทีมเศรษฐกิจรัฐบาลอนุทิน สู้ศึกเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 68 เตรียมปัดฝุ่นโครงการ "คนละครึ่ง" และมาตรการภาษี หวังพยุงกำลังซื้อ กอบกู้วิกฤติ หลังเผชิญความเสี่ยงหนี้-ส่งออก-ท่องเที่ยวชะลอตัว
เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกของปี 2568 แม้จะขยายตัวได้ดีถึง 3.0% แต่ยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งสามารถกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่รัฐบาลและภาคเอกชนต้องเตรียมรับมือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการดูแลภาคการส่งออกให้สามารถปรับตัวและแข่งขันในสถานการณ์ใหม่ ๆ รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้สินภายในประเทศและการปรับโครงสร้างภาคการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกในระยะยาว ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวในอนาคต
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 โดยระบุว่า ภัยคุกคามจากปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แม้จะมีตัวเลขการขยายตัวที่ดีในครึ่งปีแรกก็ตาม แต่ความผันผวนในหลายภาคส่วนยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

จากการแถลงภาวะเศรษฐกิจและสังคมล่าสุด สภาพัฒน์ได้เน้นย้ำประเด็นที่ต้องจับตามอง ได้แก่ ผลกระทบจากมาตรการภาษีและการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งที่สภาพัฒน์กังวลมากที่สุด
เพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณการส่งออกและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย อีกทั้งยังอาจลุกลามไปยังห่วงโซ่การผลิตในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่พึ่งพาตลาดส่งออก
ขณะเดียวกัน ปัญหาภาระหนี้สินทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจที่ยังคงสูงอยู่เป็นประวัติการณ์ก็เป็นข้อจำกัดสำคัญที่กระทบต่อการเติบโตของอุปสงค์ภายในประเทศ ทำให้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังคงมีความเปราะบาง นอกจากนี้ มาตรฐานการให้สินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงินยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ซึ่งต้องการความช่วยเหลือในการฟื้นฟู
ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเคยเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว ซึ่งอาจเกิดจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน และกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวที่อาจลดลงตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศต้นทาง
นอกจากนี้ ภัยธรรมชาติที่เกิดจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้งและน้ำท่วม ยังเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลต่อผลผลิตภาคเกษตรกรรม ซึ่งอาจกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรและสร้างแรงกดดันต่อระดับราคาสินค้าเกษตร
รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวิระกุล นายกรัฐมนตรี ได้เข้ามาบริหารในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายมากมาย
การฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจึงเป็นภารกิจที่สำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจตกต่ำมากกว่าที่เป็นอยู่ การเลือกตัวรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
รัฐมนตรีที่เปิดเผยหน้าตาและได้รับเสียงตอบรับที่ดี ได้แก่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ที่มีประสบการณ์ในการบริหารเศรษฐกิจการคลัง การจัดเก็บภาษี และการบริหารที่ดินของรัฐ
ขณะที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถือเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในการดำรงตำแหน่งนี้ และมีความคาดหวังว่าจะสามารถนำพากระทรวงไปสู่ความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยประสบการณ์ที่โดดเด่นในหลายองค์กรระดับชาติและนานาชาติ
ด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โครงการ “คนละครึ่ง” อาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน รวมถึงช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่ประสบความสำเร็จในระยะสั้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณที่จะทำให้เม็ดเงินที่ใส่เข้าไปในระยะแรกอาจไม่เพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องเสริมทัพด้วยมาตรการภาษีต่าง ๆ เช่น การใช้มาตรการ Easy E-receipt เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะช่วยกระชากเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำเกินไป
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 10 กันยายน 2568