เร่งรัฐบาลใหม่แก้ "บาทแข็ง" ตั้งหัวหน้าทีมเจรจาสหรัฐ ลุยคนละครึ่ง กระตุ้นกำลังซื้อ
KEY POINTS :
* ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
* เสนอให้เร่งแต่งตั้งหัวหน้าทีมเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา เพื่อจัดการรายละเอียดการเปิดตลาดและป้องกันการเสียเปรียบ
* สนับสนุนการนำมาตรการ “คนละครึ่ง” กลับมาใช้ เพื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศและเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
เงินบาทแข็งค่ารอบ 4 ปี แตะ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเวลานี้ กดดันทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวไทยที่เป็นรายได้หลักของประเทศและมีสัดส่วนมากสุดในจีดีพี
ขณะที่เวลานี้ไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาล “อนุทิน” ที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ามาบริหารประเทศ ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจไทยที่ถาโถมเข้ามา ทั้งเศรษฐกิจ การส่งออก ท่องเที่ยวชะลอตัว กำลังซื้อคนในประเทศตกตํ่า ภาคเอกชนมีข้อเสนออย่างไรนั้น
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์ “นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา” รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ที่ยํ้าว่ารัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ในทุกประเด็นร้อนข้างต้น พร้อมเร่งตั้งหัวหน้าทีมเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกาในรายละเอียดการเปิดตลาด หลังบรรลุดีลภาษีที่ 19% รวมถึงเร่งเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออย่าง “คนละครึ่ง” เพื่อหนุนจีดีพีฟื้นตัว
บาทแข็งค่าฉุดส่งออก–ท่องเที่ยว :
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี ณ เวลานี้ กลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่ฉุดภาคการส่งออกและท่องเที่ยวไทยในช่วงครึ่งปีหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้เงินบาทแข็งค่าไม่ได้หมายถึงเศรษฐกิจไทยแข็งแรง แต่ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นแรงถ่วง เพราะสินค้าไทยแพงกว่าคู่แข่ง นักท่องเที่ยวก็มีกำลังซื้อลดลง
ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ในสินค้าเกษตรและอาหารที่มีมาร์จิ้นหรือกำไรเพียง 3-5% เมื่อเงินบาทแข็งเพียง 1 บาท ก็ทำให้รายได้จากการขายหดตัวทันที โดยเฉพาะตลาดยุโรปและสหรัฐ ที่ลูกค้าเปรียบเทียบราคาอย่างเข้มข้น ซึ่งถ้าคู่แข่งขายได้ถูกกว่าไทย 5-10% ผู้ซื้อจะเปลี่ยนซัพพลายเออร์ทันที และจะส่งผลต่อห่วงโซ่สินค้าเกษตรและอาหารของไทยทั้งหมด
บาทแข็งจากดอลลาร์อ่อน–ทุนไหลเข้า :
นายวิศิษฐ์อธิบายว่า การแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ไม่ได้มาจากเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง แต่เกิดจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น-ตลาดพันธบัตรไทย รวมถึงแรงซื้อทองคำและคริปโต ทำให้เงินบาทแข็งค่าเกินพื้นฐาน หากปล่อยไว้นาน เศรษฐกิจไทยจะเสียสมดุล และผู้ส่งออกอาจสูญเสียตลาดถาวร
ส่วนผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวยังฟื้นตัว แต่เงินบาทแข็งทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยจึงลดการใช้จ่าย เลือกโรงแรมราคาถูกลง หรือเลี่ยงร้านอาหารหรู ทั้งนี้แม้ท่องเที่ยวไทยยังได้เปรียบด้านความปลอดภัยและเสน่ห์ท่องเที่ยว แต่ถ้าแข่งราคาไม่ได้ ก็ทำให้รายได้รวมของประเทศไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่งออก–GDP ส่อโตตํ่ากว่าคาด
ในส่วนของภาคเอกชน โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินการส่งออกทั้งปีของไทย ณ เดือนกันยายน 2568 จะโตเพียง 2-3 %จากที่ครึ่งปีแรกโตถึง 14% แต่ถูกฉุดด้วยบาทแข็งและมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐที่ทำให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานจากประเทศที่นำเข้าสินค้าวัตถุดิบจากไทยไปผลิตเพื่อส่งออกต่อไปสหรัฐด้วย ส่วนจีดีพีไทยปีนี้คาดว่าจะโตเพียง 1.8-2.2% ซึ่งตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาค
ทีมเศรษฐกิจใหม่ “ดูดี” ต้องเร่งเครื่อง :
นายวิศิษฐ์ประเมินว่า ทีมเศรษฐกิจคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ตามรายชื่อที่ปรากฏหน้าตาดูดี ใช้ได้ โดยประกอบด้วยผู้ที่มีประสบการณ์จริงในแวดวงการคลัง พลังงาน และการค้า แต่รัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือน จึงต้องเร่งขับเคลื่อนทันที นอกจากนี้อีกหนึ่งโจทย์เร่งด่วนคือการแต่งตั้งหัวหน้าทีมเจรจาการค้าสหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาที่ไทยจะเปิดตลาดสินค้านำเข้าจากสหรัฐ หลังบรรลุดีลภาษีที่ 19% ถ้าไทยยังไม่มีหัวหน้าทีมเจรจา จะเสียเปรียบคู่แข่ง เพราะการเจรจาต้องทำโดยมืออาชีพ
เชียร์ "คนละครึ่ง"กระตุ้นเศรษฐกิจ :
นายวิศิษฐ์ยํ้าว่า มาตรการ “คนละครึ่ง” ที่รัฐบาลชุดใหม่ส่งสัญญาณจะนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ เป็นเครื่องมือที่เห็นผลชัดเจนและเร็วที่สุด เพราะสร้างแรงจูงใจให้คนออกมาจับจ่าย ขณะที่ผู้ค้ารายย่อยก็ได้ยอดขายเพิ่มขึ้น ส่วนมาตรการอื่น เช่น ช้อปดีมีคืน หรือ เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือมาตรการอื่น ๆ ก็ช่วยได้ หากออกมาเป็นแพ็กเกจ
นอกจากบาทแข็งและภาษีการค้าแล้ว ปัญหาหนี้ครัวเรือนและดอกเบี้ยสูงยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลใหม่ต้องจัดการ หนี้ครัวเรือนไทยเกือบ 90% ของจีดีพี คนมีรายได้แต่ใช้ไปกับหนี้หมด ทำให้กำลังซื้อหดตัว
“รัฐบาลใหม่มีโอกาสฟื้นเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถรอช้าได้ รัฐบาลต้องเร่ง ต้องกล้าตัดสินใจ อย่าปล่อยให้เงินบาทแข็งเกินควบคุม และอย่าปล่อยให้ตลาดส่งออกเสียไป และอย่าละเลยกำลังซื้อในประเทศ” นายวิศิษฐ์ กล่าว
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 13 กันยายน 2568