ดีลประวัติศาสตร์ "ไทย-อิตาลี" ดันไทยขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมระบบราง
KEY POINTS :
* ไทยร่วมมือกับบริษัท BLUE Engineering S.r.l. จากอิตาลี เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและเปลี่ยนประเทศจากผู้นำเข้าสู่ผู้ผลิตรถไฟ
* โครงการมีเป้าหมาย 3 ระยะ คือ วางรากฐานการผลิตตามมาตรฐานยุโรป, สร้างมาตรฐานการออกแบบของไทยเอง, และเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศ
* ความร่วมมือนี้มุ่งหวังให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถไฟสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อลดการขาดดุลการค้าและสร้างงานทักษะสูง
17 กันยายน 2568 เป็นวันที่อุตสาหกรรมรถไฟไทยเริ่มต้นบทใหม่ เมื่อสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) ร่วมกับ BLUE Engineering S.r.l. จากอิตาลี เปิดตัวโครงการเชิงกลยุทธ์ที่จะเปลี่ยนไทยจากผู้นำเข้ารถไฟเป็นผู้ผลิตรถไฟเอง

กลยุทธ์เปลี่ยนเกม :
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และนายเปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตอิตาลี ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสององค์กร ประกาศเจตนารมณ์ที่จะสร้างอุตสาหกรรมรถไฟภายในประเทศ
กระทรวงคมนาคมมองเห็นช่องว่างทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน ไทยใช้งบประมาณมหาศาลในการนำเข้ารถไฟจากต่างประเทศมาเป็นเวลานาน แต่ไม่เคยมีการพัฒนาความสามารถในการผลิตเอง ผลคือการสูญเสียโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่ม การจ้างงาน และการพัฒนาเทคโนโลยี
พันธมิตรที่คุ้มค่า :
การเลือก BLUE Engineering ไม่ใช่การตัดสินใจแบบสุ่ม บริษัทนี้ดำเนินธุรกิจมา 30 ปีในเมืองตูริน ศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์อิตาลี มีประสบการณ์ครอบคลุมยานยนต์ อากาศยาน และระบบราง

นายโมฮัมหมัด จูมา อีด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLUE มองว่าตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพสูง และไทยมีตำแหน่งที่เหมาะสมที่จะเป็นฐานการผลิตสำหรับภูมิภาค
เป้าหมายสามขั้นตอน :
โครงการแบ่งเป้าหมายออกเป็นสามระยะชัดเจน
ขั้นที่หนึ่ง :
วางรากฐานการผลิตรถไฟในประเทศ โดยใช้มาตรฐานยุโรปเป็นแนวทาง ศึกษาความเป็นไปได้ และออกแบบชุดรถไฟสำหรับการผลิตในท้องถิ่น
ขั้นที่สอง :
สร้างมาตรฐานและแนวทางการออกแบบที่เป็นของไทยเอง ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและชิ้นส่วนท้องถิ่น ลดการพึ่งพาการนำเข้า


ขั้นสุดท้าย :
เสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง พัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการไทย และสร้างเกณฑ์ประเมินที่ชัดเจน
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ :
การพัฒนาอุตสaหกรรมรถไฟส่งผลต่อเศรษฐกิจหลายระดับ ระดับมหภาคจะลดการขาดดุลการค้า เพราะลดการนำเข้ารถไฟและเพิ่มศักยภาพการส่งออก ระดับอุตสาหกรรมจะกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจต้นน้ำ เช่น เหล็กกล้า โลหะ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
การจ้างงานที่เกิดขึ้นจะเน้นแรงงานทักษะสูง วิศวกร และช่างเทคนิค ซึ่งมีค่าจ้างสูงกว่าแรงงานทั่วไป ส่งผลดีต่อการกระจายรายได้และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ความท้าทายที่ต้องเผชิญ :
การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาแรงงานขาดทักษะเฉพาะด้านต้องได้รับการแก้ไขผ่านหลักสูตรฝึกอบรมและความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา
มาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพที่เข้มงวดต้องได้รับการปฏิบัติตาม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดในและต่างประเทศ การแข่งขันจากผู้ผลิตรถไฟระดับโลกที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีสูงกว่า
โอกาสในภูมิภาค :
ตลาดระบบรางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ต่างวางแผนพัฒนาระบบรางเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ไทยมีข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐาน และต้นทุนแรงงานที่แข่งขันได้ หากสามารถผลิตรถไฟได้ จะมีโอกาสครองตลาดภูมิภาคได้
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ :
โครงการนี้สะท้อนยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจฐานการผลิตทั่วไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและเทคโนโลยีสูง การพัฒนาอุตสาหกรรมรถไฟจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
การถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก BLUE จะสร้างความรู้และประสบการณ์ให้กับวิศวกรไทย ซึ่งจะนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้
ก้าวสู่อนาคต :
การเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 17 กันยายนเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันใหม่ ไม่ใช่แค่การประกาศเจตนารมณ์ แต่เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ในอนาคต เมื่อรถไฟที่ผลิตในไทยแล่นบนเส้นทางต่างๆ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไทยสามารถแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีสูงได้ และเป็นแรงบันดาลใจให้อุตสาหกรรมอื่นๆ เดินตามรอยเท้าเดียวกัน
โครงการนี้ไม่ใช่แค่การสร้างรถไฟ แต่เป็นการสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับประเทศไทย
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 17 กันยายน 2568