3 กลยุทธ์ พัฒนาเศรษฐกิจ "เอเชีย" สู่ห่วงโซ่การผลิตโลกยุคใหม่
KEY POINTS :
* เอเชียและอาเซียนมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และดาต้าเซ็นเตอร์
* หลายบริษัทเปลี่ยนจากการสำรองสินค้าแบบพอดี (Just-in-time) มาเป็นการกระจายความเสี่ยงและสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถรับมือกับผลกระทบจากวิกฤตและความไม่แน่นอนต่างๆ ได้
* เอเชียควรเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI, ระบบอัตโนมัติ และบล็อกเชน มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน
ท่ามกลางระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนไปตั้งแต่การเข้ามาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หนึ่งคำถามสำคัญสำหรับประเทศกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่พึ่งพาการส่งออกเป็นเครื่องจักรสำคัญ คือจะสามารถปรับตัวเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตของโลก (Global Value Chains) ได้หรือไม่และอย่างไร บทวิเคราะห์ “How Asia can thrive in the next era of global value chains” ล่าสุดของสำนักข่าวนิกเคอิเอเชียอธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า
ปัจจุบันห่วงโซ่การผลิตของโลกอยู่ท่ามกลางจุดเปลี่ยนสำคัญ ในอดีตห่วงโซ่ดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักที่ส่งเสริมให้เศรษฐกิจของเอเชียเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ปัจจุบันกลับถูกท้าทายจากทั้งความไม่เเน่นอนเชิงภูมิรัฐศาสตร์ โควิด-19 รวมทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเข้ามาของเทคโนโลยี
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ภาษีศุลกากรของสหรัฐและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และสหรัฐกับยุโรป ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อห่วงโซ่การผลิตระหว่างประเทศ ท่ามกลางผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 ที่ยังคงอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่
จากข้อเท็จจริงทั้งหมด จึงเกิดคำถามอย่างที่ตั้งไปตอนแรกว่า กลุ่มประเทศในเอเชียที่เคยพึ่งพาการเติบโตจากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตของโลกแบบเดิมจะสามารถปรับตัวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตในยุคที่ระเบียบการค้าโลกเปลี่ยนไปได้หรือไม่
คำตอบจากบทวิเคราะห์ชิ้นนี้ก็คือ “มีความเป็นไปได้” หากกลุ่มประเทศเหล่านี้ปรับตัวสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น ผ่านสามกลยุทธ์สำคัญ
กลยุทธ์แรก ‘ปรับโครงสร้าง’ :
บริษัทจำนวนมากเริ่มปรับโครงสร้างการผลิตใหม่จากสงครามการค้าของประเทศมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจากความตึงเครียดจากภาษีศุลกากรสหรัฐ มาตรการคว่ำบาตร และความจำเป็นที่จะต้องเริ่มกระจายความเสี่ยง ปัญหาทั้งหมดกระตุ้นให้หลายบริษัทย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากประเทศจีน ไปสู่ประเทศอื่นในเอเชีย รวมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียน
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ของนิกเคอิเอเชีย ระบุว่า การย้ายฐานการผลิตเข้ามาในเอเชียและอาเซียนครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะตลอดทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่มประเทศเหล่านี้ ได้เริ่มลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพและดิจิทัล รวมถึงปรับปรุงกรอบการดำเนินการและข้อกำหนดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ “รูปแบบเศรษฐกิจแห่งอนาคต” ไว้ก่อนแล้ว เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การพัฒนาระบบการขนส่งอัจฉริยะ และพัฒนาทักษะแรงงาน
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการพัฒนาที่เล่ามาคือ
1. ประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย ดึงดูดการลงทุนจำนวนมาก ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การผลิตแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้เข้ามาในประเทศ
2. มาเลเซียและไทยเองก็กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำด้านดาต้าเซ็นเตอร์และอุตสาหกรรมยานยนต์
3. ฟิลิปปินส์ก็เร่งพัฒนาการให้บริการทางดิจิทัล เช่น ธุรกิจนายหน้าตามความต้องการของแต่ละบริษัท (Business process outsourcing)
จากพัฒนาการทั้งหมด จะเห็นได้ว่า ภูมิภาคนี้ไม่ได้แค่กำลังยกระดับมูลค่าของห่วงโซ่การผลิตเท่านั้น แต่ยังกำลังวางรากฐานสำหรับรูปแบบห่วงโซ่การผลิตเเห่งอนาคตอีกด้วย
กลยุทธ์ที่สอง ‘ยืดหยุ่น-พร้อมรับความเสี่ยง’ :
การระบาดของโควิด 19 และการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความเปราะบางของเครือข่ายการผลิตในระดับโลก เช่น การหยุดชะงักของระบบการขนส่ง และห่วงโซ่อุปทาน โดยวิกฤตดังกล่าวผลักดันให้ภาครัฐและเอกชนทบทวนรูปแบบการสำรองสินค้าคงคลังแบบเดิมที่สำรองสินค้าไว้เทียบเท่ากับความต้องการเท่านั้น (Just-in-time models) โดยเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นเกินความต้องการเพื่อกระจายความเสี่ยง และยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อแลกกับความมั่นคงของเศรษฐกิจภายในประเทศ
แม้การพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศเพียงอย่างเดียวอาจเป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันจากการเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลก แต่กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน เส้นทางการค้าที่เหมาะสม และจัดหาสินค้าคงคลังถือเป็นสิ่งจำเป็นในระเบียบการค้าปัจจุบัน
มากไปกว่านั้น บทวิเคราะห์ดังกล่าวยังระบุว่า ความพยายามที่จะปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศใหม่ ภายใต้ภาษีกีดกันทางการค้าอย่างที่สหรัฐกำลังทำนั้น มีค่าใช้จ่ายสูงและเสี่ยงที่จะล้มเหลว เนื่องจากความพยายามนี้ขัดต่อหลักการสำคัญของตลาดเสรีและหลักการเรื่องข้อได้เปรียบของประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว (เช่นสหรัฐไม่เชี่ยวชาญในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เท่ากับเม็กซิโกและแคนาดา แต่ก็พยายามจะดึงอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เหล่านั้นกลับมาในประเทศ)
หนทางข้างหน้าของเอเชีย อยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น เศรษฐกิจที่ปรับตัวได้เร็ว มีความยืดหยุ่น และมีห่วงโซ่การผลิตที่กระจายจะได้เปรียบในการรับมือกับผลกระทบ จากแรงสั่นสะเทือนของวิกฤตในอนาคต และรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้
กลยุทธ์ที่สาม ‘เผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี’
ภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทำให้ ความพร้อมในด้านดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดความสามารถในการปรับตัวของเศรษฐกิจ เอเชียจะต้องเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในโลกดิจิทัล เริ่มนำ AI มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ และสร้างระบบนิเวศของนวัตกรรม ที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นส่วนประกอบ และยิ่งประเทศใดสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับประเด็นเรื่องห่วงโซ่การผลิตนั้น เทคโนโลยีถือเป็นสิ่งที่สามารถชดเชยผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ด้วยการเสริมความยืดหยุ่นให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ
ปัจจุบันประเทศในกลุ่ม อาเซียนพลัสทรี (อาเซียน + จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) กำลังยกระดับห่วงโซ่การผลิตของตัวเอง โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนภายนอก โดยประเทศที่นำ AI ระบบปฏิบัติการอัตโนมัติ และหุ่นยนต์มาใช้ได้อย่างรวดเร็ว จะมีแต้มต่อในการเพิ่มผลผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพ ท่ามกลางต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน และการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญก็คือ "บล็อกเชน" ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิตของโลกให้ดียิ่งขึ้นด้วยระบบการติดตามแหล่งที่มาของสินค้า และอำนวยความสะดวกในการคำนวณภาษีตามแหล่งผลิตที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำหรับประโยชน์ของบล็อกเชนในด้านการจัดหาเงินทุนเพื่อตอบสนองต่อห่วงโซ่อุปทาน ความร่วมมือระหว่างธนาคารและบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน เทคโนโลยีนี้ก็จะช่วยบรรเทาปัญหาเรื่องสภาพคล่องฝั่งผู้ผลิต โดยไม่ไปกระทบต่อสภาพคล่องในฝั่งผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเหล่านี้จะเข้ามาแทนที่แรงงานด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้กำหนดนโยบาย จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรม ด้วยการสนับสนุนการพัฒนาทักษะใหม่ให้แก่แรงงาน เคลื่อนย้ายแรงงานไปสู่ภาคส่วนอื่น และเสริมสร้างการคุ้มครองทางสังคมให้แก่คนทำงาน ลักษณะงานในอนาคตจะไม่เหมือนเดิม แต่จะมีพลวัตขึ้นและผู้กำหนดนโยบายจะต้องก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงนี้
หลายประเทศในเอเชียกำลังกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ภายในภูมิภาคแต่รวมถึงในระดับโลก ผ่านข้อตกลงต่าง ๆ ที่มีอยู่ เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) โดยข้อตกลงเหล่านี้ ได้เชื่อมโยงเอเชียเข้ากับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา ตั้งแต่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และรถอีวี ไปจนถึงอุปกรณ์อัจฉริยะอื่น ๆ
ความร่วมมือเหล่านี้ส่งผลให้ประเทศในเอเชียกำลังก้าวเข้าสู่บทบาทที่สำคัญมากขึ้นในการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างห่วงโซ่การผลิตของโลก และโลกกำลังก้าวเข้าสู่ฉากทัศน์ของโลกาภิวัตน์ที่ถึงแม้จะมีความแตกแยกมากขึ้น แต่ก็ยังมีข้อได้เปรียบในเชิงดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูง
สำหรับเอเชียแล้ว สิ่งนี้ได้เปิดประตูให้กับความเป็นไปได้ในการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ที่อาจยังไม่สามารถก้าวตามได้ทัน
ดังนั้น อนาคตของภูมิภาคนี้จึงขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการประยุกต์ใช้กลยุทธ์สามประการที่ได้กล่าวไป ได้แก่ การปรับตัวเชิงรุกต่อการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ การมีความยืดหยุ่นพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอน และการเปิดกว้างส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ อย่างสอดคล้องกัน
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองทิ้งท้ายว่า ที่สุดแล้ว ห่วงโซ่การผลิตโลกยังไม่ได้หายไปไหน แต่กำลังพัฒนาและปรับโครงสร้างใหม่ และหากประเทศในเอเชีย รวมทั้งอาเซียน สามารถก้าวไปข้างหน้าไปพร้อมกับเทรนด์นี้อย่างมั่นใจ ก็จะสามารถขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตนี้ได้อย่างแน่นอน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 18 กันยายน 2568