ธุรกิจไทยยุค Glocalization จะอยู่รอดได้อย่างไร ? สรุปประเด็นสำคัญที่ธุรกิจไทยต้องรู้ จาก KPMG Business Leader s Summit 2025
KPMG ประเทศไทยเพิ่งจัดงานสัมนาใหญ่ประจำปี KMPG Business Leaders Summit 2025 ภายใต้หัวข้อ Navigating Uncertainty: Turning Challenges into Opportunities
ซึ่งได้รวบรวมผู้บริหารระดับสูงกว่า 370 คนจากบริษัทชั้นนำของไทย เพื่อร่วมถอดรหัสและแลกเปลี่ยนกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวข้ามความท้าทายแห่งยุค โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
ประเทศไทยในสนามเศรษฐกิจโลก
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งการเมืองในประเทศ และความตึงเครียดทางการค้าโลก แม้จะสามารถเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ในระดับที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่ความเสี่ยงจากสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นก็ยังเป็นสิ่งที่ยังต้องจับตามอง

กลยุทธ์ที่ไทยต้องนำมาใช้คือ การเดินเกมรุกมากกว่าตั้งรับ โดยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อกระจายตลาดส่งออก เสริมสร้างการค้าภายในอาเซียนให้แข็งแกร่ง และที่สำคัญคือ ลงทุนในนวัตกรรมและยกระดับมาตรฐานสินค้า เพื่อสร้างความแตกต่างและแข่งขันในระยะยาว
การตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้ารายใหญ่ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจไทย ตรงกันข้ามการคงอัตราภาษีให้อยู่ในระดับต่ำ จะช่วยลดต้นทุนโดยรวมตลอดทั้งเศรษฐกิจ และเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคโดยตรง
นอกจากนี้ ประเทศไทยก็กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในสินค้าานำเข้า ดังนั้นไทยควรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างมาตรการควบคุมคุณภาพ ป้องกันการลักลอบนำเข้า และการยกระดับมาตรฐานสินค้า มาตรการเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
Glocalization โลกไม่เหมือนเดิม ธุรกิจไทยเอาตัวรอดอย่างไร?
ตอนนี้โลกกำลังเจอกับหลายปัญหารุมเร้าพร้อมกัน หรือ Poly-crisis ที่ความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะในด้านซัพพลายเชน ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวครั้งใหญ่ จากเดิมที่เคยใช้กลยุทธ์เดียวทั่วโลก ก็ต้องหันมาปรับสินค้าและบริการให้เข้ากับลูกค้าในแต่ละท้องถิ่นมากขึ้น (Glocalization)
นอกจากนี้ หลายบริษัทเริ่มไม่มั่นใจในระบบขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จึงตัดสินใจย้ายโรงงานกลับประเทศตัวเอง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้กำลังทำให้โลกอุตสาหกรรมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพื่อความอยู่รอด ธุรกิจไทยต้องยกเครื่องตัวเองใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1)Productivity
นำระบบบการผลิตอัจฉริยะ และ AI เข้ามาใช้ พร้อมพัฒนาทักษะบุคคลากรให้ก้าวทันเทคโนโลยี
2)Risk Management
ต้องกระจายตลาด สร้างความมั่นคงในซัพพลายเชน และยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์
3)Sustainability
มุ่งสู่พลังงานสะอาดและดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของประเทศ
สำหรับประเทศไทย ก็จำเป็นต้องก้าวข้ามจากการเป็นแค่ผู้รับจ้างผลิต ไปสู่ผู้รับจ้างออกแบบและผลิต (ODM) และการสร้างแบรนด์ของตัวเอง (OBM) ให้ได้ รวมถึงต้องดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้าน ESG มากขึ้น
เข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ เมื่อ AI มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ :
ผู้บริโภคยุคนี้มีความอดทนน้อยลง แต่คาดหวังสูงขึ้น พวกเขาต้องการบริการที่รวดเร็ว ประสบการณ์ที่ออกแบบมาส่วนบุคคล (Personalized) และความจริงใจจากแบรนด์ ที่น่าสนใจคือ อิทธิพลของ AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการค้นหาและตัดสินใจซื้อมากขึ้น จากที่เคยเชื่อรีวิวหรือเพื่อนบอกต่อ ตอนนี้ระบบแนะนำของ AI เริ่มมีผลต่อการตัดสินใจมาก และในอนาคต AI อาจทำหน้าที่ซื้อของแทนเราโดยตรง
ดังนั้นแบรนด์จึงต้องปรับกลยุทธ์ใหม่โดยยึดหลักการสำคัญ 3 อย่างคือ
1. สร้างความเชื่อมั่น ต้องสื่อสารอย่างจริงใจ และแสดงจุดยืนของแบรนด์อย่างชัดเจน
2. เจาะตลาด Niche เนื่องจากแบรนด์ที่สำเร็จมักจะเริ่มจากชนะใจคนกลุ่มเล็ก ๆ ก่อนขยายไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น
3. ทำงานร่วมกับ AI โดยออกแบบ Touchpoint ที่ยังคงยึดผุ้บริโภคเป็นศูนย์กลาง แต่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างไร้รอยต่อ
AI และ Cloud คือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ :
AI และ Cloud จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกธุรกิจในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่การนำเทคโนโลยีมาใช้มีความท้าทายซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่กระจัดกระจาย ระบบที่ไม่เชื่อมต่อกัน และความเสี่ยงด้านไซเบอร์ โดยปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการใช้ AI ให้ประสบความสำเร็จ ได้แก่
1. ผู้นำต้องมีวิสัยทันศ์ ต้องกำหนดทิศทางการลงทุนและเป้าหมายที่ชัดเจน
2. บุคคลากรต้องพร้อม พนักงานต้องได้รับการฝึกอบรบเพื่อใช้ AI ได้เต็มศักยภาพ
3. ต้องมีธรรมาภิบาล สร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจน และมาตรการความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นตั้งแต่เริ่มต้น
S-Curve ต่อไปอยู่ที่ไหน?
KMPG เปิดเผยว่า การควบคุมและซื้อกิจการ (M&A) ยังคงเป็นเส้นทางลัดสู่การเติบโตของธุรกิจในยุคนี้ โดยอุตสาหกรรมที่น่าจับตามองที่สุดคือ เทคโนโลยีและดิจิทัล ตามมาด้วยอาหารและเครื่องดื่ม
ซึ่งข้อมูลจาก KPMG ระบุว่าธุรกิจมีแผนจะทำดีลหนึ่งถึงสองดีลภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยมีแรงจูงใจหลักคือการเสริมสร้างธุรกิจหลัก รองลงมาคือการขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ ไปจนถึงการกระจายผลิตภัณฑ์และตลาด
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ภูมิทัศน์การลงทุนเปลี่ยนไป ทำให้ดีลต่าง ๆ ใช้เวลานานขึ้นและมีการตรวจสอบ Due Diligence ที่เข้มข้นกว่าเดิม โดยนักลงทุนใช้ข้อมูลและ AI มาช่วยในการตัดสินใจมากขึ้น สะท้อนถึงแนวทางการลงทุนที่ระมัดระวัง และขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
นอกจากการมองหาโอกาสภายนอกแล้ว ผุ้นำธุรกิจยังต้องให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าจากภายในองค์กร โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงกระแสเงินสด เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และขยายธุรกิจไปยังช่องทางใหม่ ๆ ที่เกื้อหนุนกัน ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของการเติบโตอย่างยั่งยืน
ที่มา techsauce
วันที่ 22 กันยายน 2568