สรรพสามิตมั่นใจปี 68 จัดเก็บรายได้ตามเป้า 5.35 แสนล้าน
KEY POINTS :
* กรมสรรพสามิตมั่นใจว่าปีงบประมาณ 2568 จะจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ปรับลดลงมาที่ 5.35 แสนล้านบาท โดย 11 เดือนแรกทำได้แล้ว 4.89 แสนล้านบาท
* การจัดเก็บรายได้เผชิญความท้าทายจากมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่กระทบต่อการบริโภค
* รายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการปรับขึ้นภาษีน้ำมัน การขยายเวลาลดภาษีสถานบริการ และการปราบปรามสินค้าหนีภาษีอย่างเข้มงวด
* มีการขยายฐานรายได้ใหม่โดยกำหนดพิกัดภาษีรถยนต์โบราณในอัตรา 45% ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่ม 1,000-2,000 ล้านบาท
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตในรอบ 11 เดือน (1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 สิงหาคม 2568) ได้ 489,564 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 1.61% มั่นใจว่าในปีงบประมาณ 2568 จะสามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย 535,000 ล้านบาท หรือสูงกว่าปีก่อน 2.17% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กระทรวงการปรับลดลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ จากเป้าเอกสารงบประมาณที่กำหนดกว่า 609,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยอมรับว่าการจัดเก็บภาษีของกรมมีความท้าทาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถอีวี จึงทำให้สัดส่วนรายได้ภาษีจากรถอีวีลดลง รวมถึงการจัดเก็บภาษีจากรถยนต์สันดาปด้วย และอีกส่วนหนึ่งมาจากทางด้านอุปสงค์ของผู้บริโภค เพราะเศรษฐกิจยังค่อนข้างชะลอตัว การจะซื้อสินค้าขนาดใหญ่ผู้บริโภคจะมีการคิดในการจับจ่ายใช้สอย
“เมื่อเศรษฐกิจค่อนข้างชะลอตัว จะมีผลกระทบกับสินค้าโดยทั่วไป และจะมีผลกับสินค้าในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตด้วย ฉะนั้น เราจึงเห็นการจัดเก็บภาษีสุรา เครื่องดื่ม เช่น เบียร์ ส่วนใหญ่โดดเด่นมาก ทั้งในนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ตอนนี้การดื่มเบียร์ก็ค่อนข้างชะลอลง ซึ่งเราเห็นสัญญาณการชะลอตัวของอุปสงค์ ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศด้วย”
อย่างไรก็ตาม ในการปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันเพื่อเสถียรภาพทางการคลัง โดยปรับขึ้นภาษีกลุ่มน้ำมันเบนซินและกลุ่มน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร โดยไม่กระทบต่อราคาขายปลีก เนื่องจากมีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน ส่งผลให้กรมจัดเก็บรายได้ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้น ประมาณ 2,800 ล้านบาทต่อเดือน
นอกจากนี้ กรมได้มีขยายเวลาการลดอัตราภาษีสถานบริการเพื่อกระตุ้นภาคท่องเที่ยว โดยลดจากอัตรา 10% เหลือ 5% ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบสรรพสามิตเพิ่มขึ้น และสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสถานบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ก่อนการลดอัตราภาษีในปี 2566 จัดเก็บได้จำนวน 138 ล้านบาท และในปี 2567 ซึ่งเป็นปีแรกที่ลดอัตราภาษีสามารถจัดเก็บได้จำนวน 182 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2568 (1 ตุลาคม 2567 ถึง31 สิงหาคม 2568) จัดเก็บรายได้เกือบ 200 ล้านบาท”
ทั้งนี้ กรมคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเติม 1,000-2,000 ล้านบาท จากการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์โบราณขึ้นใหม่ โดยจัดเก็บภาษี ในอัตรา 45% เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงรถยนต์โบราณในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมบูรณะรถยนต์โบราณ (Restoration)ในประเทศ และเป็นการขยายฐานรายได้ใหม่ ในการจัดเก็บภาษีสินค้ารถยนต์
นางสาวกุลยา กล่าวว่า กรมยังเข้มงวดในการปราบปรามการลักลอบขนส่งสินค้าหนีภาษี โดยในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สามารถจับกุมและดำเนินคดีได้ทั้งสิ้น 33,766 คดี สูงกว่าปีก่อน 8.69% และสูงกว่าเป้าหมาย 37.33% ตลอดจนมีการนำเงินส่งคลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถนำเงินส่งคลังได้เกือบ 500 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 27.74% และสูงกว่าเป้าหมาย 64.12%
ทั้งนี้ ภาพรวมการเดินหน้าภายใต้ยุทธศาสตร์ SMART Excise ของกรมถือว่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการสร้างกลไกราคาคาร์บอนในภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065
โดยได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษี เพื่อแสดงกลไกราคาคาร์บอนในสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และออกประกาศกรมสรรพสามิต เพื่อกำหนดราคาคาร์บอน 200 บาทต่อตันคาร์บอน เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมให้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ขณะที่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (มาตรการ EV 3) และมาตรการสนับสนุนการใช้ ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ระยะที่ 2 (มาตรการ EV 3.5) ตามนโยบายรัฐบาลนั้น ตั้งแต่มีการเริ่มมาตรการเมื่อเดือนมีนาคม 2565 จนถึงเดือนสิงหาคม 2568 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสม จำนวน 233,802คัน และรถยนต์จักรยานยนต์ไฟฟ้าสะสม จำนวน 71,667 คัน
ขณะเดียวกัน กรมสรรพสามิตได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมสุราชุมชน เพื่อต่อยอดนโยบายการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ โดยปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมผู้ผลิตสุราชุมชน ลดอุปสรรคต่อผู้ประกอบการรายใหม่ ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับฐานรากทำให้มีผู้ประกอบการในระบบ 1,824 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และจัดเก็บภาษีสุราชุมชนได้จำนวน 1,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8
และได้มีการปรับขึ้นอัตราภาษีเครื่องดื่มตามความหวาน ระยะที่ 4 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมปรับสูตรการผลิต ส่งผลให้ปัจจุบันมีเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมายทางเลือกเพื่อสุขภาพ (Healthier Choice) จำนวน 3,411 ผลิตภัณฑ์
ขณะที่แผนการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2569 จะต้องรอจังหวะที่เหมาะสมในการหารายได้ และต้องไม่กระทบกับผู้ประกอบการ และประชาชนในประเทศ ซึ่งกรมสรรพสามิตยังมีแผนผลักดันภาษีใหม่ๆ โดยอยู่ระหว่างศึกษา ได้แก่ ภาษีความเค็ม ภาษีแบตเตอรี่ และการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งจะต้องรออธิบดีกรมสรรพสามิตคนใหม่เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายต่อไป
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 22 กันยายน 2568