"สินค้าจีนท่วมโลก" ส่องเกม "รุก-รับ" สวนหมัดภาษีสหรัฐ
เปิดกลยุทธ์จีนเดินเกม "รุก-รับ" เร่งหาตลาดใหม่ ดันส่งออกทะลักโลก สวนหมัดภาษีสหรัฐ หนุนตัวเลข "เกินดุลการค้า" กว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา
แม้การเข้าถึงตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดอย่าง “สหรัฐ” จะถูกจำกัดด้วยมาตรการภาษีของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ แต่เหล่า “ผู้ผลิตจีน” ไม่ยอมแพ้ต่อความท้าทายนี้ โดยหาทางออกด้วยการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อสินค้าจากจีนของ "อินเดีย" พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งการส่งออกไปยังทวีป "แอฟริกา" และ "อาเซียน" ต่างพุ่งสูงขึ้นจนทำลายสถิติ จนในช่วง 5 เดือนที่สหรัฐเก็บภาษี จีนมีตัวเลขเกินดุลการค้ากว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์

China Shock 2.0 จับตา ‘สินค้าจีน’ ทะลักโลก :
การเติบโตอย่างรวดเร็วของการส่งออกจีนสร้างความกังวลให้กับนานาประเทศ เนื่องจากรัฐบาลต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงที่อุตสาหกรรมในประเทศจะเสียหาย กับการเผชิญหน้ากับจีนซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของประเทศกว่าครึ่งโลก
ขณะนี้มีเพียงเม็กซิโกเท่านั้นที่ออกมาตรการตอบโต้จีนด้วยการประกาศใช้ภาษีนำเข้าสูงถึง 50% กับสินค้ายานยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และเหล็กจากจีน ส่วนประเทศอื่นๆ ยังคงลังเล
ประเทศอย่างอินเดียและอินโดนีเซียกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก โดยเจ้าหน้าที่อินเดียได้รับคำร้องให้สอบสวนการทุ่มตลาดจากจีนถึง 50 กรณี ขณะที่รัฐมนตรีพาณิชย์ของอินโดนีเซียต้องให้คำมั่นว่าจะจับตาการหลั่งไหลเข้ามาของสินค้าจีนอย่างใกล้ชิด
แม้สินค้าส่งออกของจีนจะส่งผลกระทบ แต่ความเป็นไปได้ที่จะมีการดำเนินการที่รุนแรงกลับมีจำกัด เนื่องจากหลายประเทศกำลังเจรจาการค้ากับรัฐบาลทรัมป์อยู่แล้ว และเป็นไปได้ว่าไม่ต้องการเปิดศึกการค้าครั้งใหม่กับจีน
Christopher Beddor ฝ่ายวิจัยจีนจาก Gavekal Dragonomics มองว่า “การตอบสนองที่เชื่องช้าน่าจะมาจากแต่ละประเทศอยู่ระหว่างการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐ บางประเทศอาจไม่ต้องการถูกมองว่ามีส่วนร่วมในการทำลายระบบการค้าโลก และบางประเทศอาจเก็บไพ่การขึ้นภาษีต่อจีนไว้เพื่อใช้เป็นข้อเสนอในการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐในภายหลัง”
อย่างไรก็ดี การปกป้องเศรษฐกิจของแต่ละประเทศจากโรงงานผลิตขนาดมหึมาของจีนเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
Arthur Kroeber หัวหน้าฝ่ายวิจัยจาก Gavekal Dragonomics ได้กล่าวว่า การกีดกันทางการค้าจากสหรัฐและประเทศอื่นๆ ดูน่ากลัวแต่ไร้ประสิทธิภาพไปแล้ว เพราะผู้ส่งออกของจีนมีความสามารถในการแข่งขันสูงมาก สามารถรับมือกับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นได้ และยังมีช่องทางหลีกเลี่ยงมากมาย ทั้งการส่งผ่านสินค้าไปยังประเทศที่ 3 และการย้ายฐานการผลิตขั้นสุดท้ายไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า ทำให้มาตรการป้องกันต่างๆ ไม่สามารถหยุดยั้งการหลั่งไหลของสินค้าจีนได้จริง

กลยุทธ์จีนเดินเกม ‘รุก-รับ’ :
เรียกได้ว่าจีนใช้ทั้งเสน่ห์ทางการทูตและกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจเพื่อป้องกันการตอบโต้ โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เรียกร้องให้กลุ่มประเทศ BRICS ร่วมกันต่อต้านการกีดกันทางการค้า
ขณะที่เจ้าหน้าที่จีนก็เตือนเม็กซิโกให้ "คิดให้ดี" ก่อนจะดำเนินการใดๆ นอกจากนี้ จีนยังใช้ความสัมพันธ์ทางการค้าเพื่อดึงดูดพันธมิตร เช่น การเปิดทางให้ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสามารถนำเข้ารถยนต์ในบราซิลได้โดยไม่มีกำแพงภาษี เพื่อเร่งการผลิตในประเทศ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จีนยืนยันว่าการค้าของตนอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมและไม่ได้มีเจตนาที่จะครอบงำตลาดโลก โดยเหลียว หมิน (Liao Min) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในเดือนก.ค.ที่ผ่านมาว่า "เมื่อมีความต้องการจากต่างประเทศ จีนก็ทำการส่งออกตามความเหมาะสม"
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ People’s Daily ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลจีน ยังได้ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการ "ทุ่มตลาด" จากประเทศตะวันตก โดยให้เหตุผลว่าผู้ส่งออกของจีนไม่ได้ขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนของรัฐบาลจีนต่อประเด็นนี้
อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์สามารถรวบรวมประเทศอื่น ๆ เพื่อร่วมมือกันใช้มาตรการรุนแรงกับจีน จีนก็มีแนวโน้มที่จะตอบโต้ด้วยการใช้มาตรการภาษีแบบ “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” ทันที แต่ความเสี่ยงคือการตอบโต้ดังกล่าวอาจทำให้จีนสูญเสียพันธมิตรในเวลาที่ต้องการมากที่สุด และอาจเป็นแรงจูงใจให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศคู่ค้าอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบในระยะยาวต่ออุตสาหกรรมการส่งออกของจีนได้
ทว่าการส่งออกที่พุ่งสูงขึ้นก็มาพร้อมกับความท้าทาย เพราะตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมจีนลดลง 1.7% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี เนื่องจากผู้ผลิตแข่งกันทำ "สงครามราคา" ต้องลดราคาสินค้าเพื่อระบายสินค้าส่วนเกิน ซึ่งทำให้ปัญหาเงินฝืดรุนแรงขึ้น และยังขัดแย้งกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการปรับสมดุลเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ
3 ปัจจัยหนุน ‘ส่งออกจีน’ โตต่อ :
(1)กระจายความเสี่ยง :
แม้ว่ายอดส่งออกไปเวียดนามที่เพิ่มขึ้นจะบ่งชี้ถึงการส่งผ่านสินค้าเพื่อเลี่ยงภาษีของทรัมป์ แต่ปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตคือ ความต้องการสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงของจีนในตลาดโลก นอกจากนี้ จีนยังสามารถหาผู้ซื้อรายใหม่ในตลาดที่ร่ำรวยอย่างยุโรปและออสเตรเลียได้สำเร็จ ทำให้ยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นักเศรษฐศาสตร์จาก JPMorgan Chase ให้ความเห็นว่า จีนทำผลงานได้ดีเกินคาดเพราะความสามารถในการหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ อย่างชาญฉลาด เช่น ตลาดยุโรปที่กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการชดเชยตลาดสหรัฐ
Absolute Strategy Research มองว่าการส่งออกของจีนจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากรายงานชี้ว่า สินค้าที่จีนขายให้กับสหรัฐมีความคล้ายคลึงกับสินค้าที่ส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ BRICS ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้เกือบ 50% ทำให้จีนสามารถย้ายสินค้าที่สหรัฐไม่ได้ซื้อแล้วไปขายในตลาดอื่นได้อย่างง่ายดาย
(2)จีนคุมห่วงโซ่อุปทานใน ‘อินเดีย’ :
การปรับเปลี่ยนแผนการค้าของสหรัฐส่งผลดีต่อจีน โดยอินเดียกำลังกลายเป็นผู้รับผลประโยชน์ทางอ้อม จากการที่ซัพพลายเออร์ของ Apple เร่งย้ายฐานการผลิต iPhone มายังอินเดีย ส่งผลให้ยอดส่งออกของจีนไปอินเดียพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 12,500 ล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากฐานการผลิตในอินเดียยังต้องพึ่งพาชิ้นส่วนและเครื่องมือจากจีนเป็นหลัก ทำให้จีนยังคงเป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
(3)หยวนอ่อนค่า :
ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงก็เป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา และการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนก.ย. ก็อาจยิ่งทำให้ “ค่าเงินดอลลาร์” แข็งค่าขึ้นซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการสินค้าทั่วโลก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 24 กันยายน 2568