3 เสาหลักเศรษฐกิจจี้รัฐ "War Room" 90 วัน เคลียร์สนามบิน–วีซ่า–ไฟลต์
KEY POINTS :
* ภาคเอกชน 3 เสาหลัก (ท่องเที่ยว, อุตสาหกรรม, การค้า) เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่จัดตั้ง “War Room” เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วนภายใน 90 วัน
* เป้าหมายหลักคือการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็น Quick Win ของเศรษฐกิจ โดยเน้น 3 ประเด็นคือ ความแออัดในสนามบิน, ขั้นตอนการขอวีซ่า และการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน
* ข้อเสนอดังกล่าวมีขึ้นเพื่อฟื้นฟูขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และกระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันปลายปี ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ท่ามกลางจังหวะเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลชุดใหม่ ภาคเอกชนลุกขึ้นมาจัดทัพข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อ "เร่งฟื้น–วางรากฐานเติบโตยั่งยืน" ผ่านเวทีเสวนาที่รวม 3 เสาหลักเศรษฐกิจของไทย การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม และการค้า เข้าด้วยกัน
เป้าหมายคือส่งสัญญาณตรงถึงฝ่ายกำหนดนโยบายว่าไทยต้องเร่งเครื่อง Quick Win จากการท่องเที่ยว, ลดต้นทุนเชิงโครงสร้างของภาคผลิต–บริการ และทำงานภาครัฐแบบ “เอกภาพ” ตั้งแต่สนามบิน–วีซ่า–ไฟลต์–โลจิสติกส์ ไปจนถึงพลังงานและการเงินเอสเอ็มอี เพื่อดึงกำลังซื้อกลับระบบและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
เวทีนี้มีสามผู้นำเอกชนเป็นแกนกลาง ได้แก่ นาย ชัย อรุณานนท์ชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ชี้ให้เห็นบทบาทท่องเที่ยวในฐานะเครื่องยนต์กระจายรายได้รวดเร็วสู่ท้องถิ่นและเอสเอ็มอี
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่เน้นโจทย์ลดต้นทุน–แก้ค่าเงิน–รับมือมาตรการภาษีคู่ค้า และย้ำการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล–กรีน, และ นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่ผลักดันการทำงานรัฐแบบบูรณาการ แก้ “ไส้ใน” สภาพคล่องธุรกิจท่องเที่ยว เพิ่มความปลอดภัย และทำตลาดเชิงลึก (Segmentation/Repeat Visit)
ทั้งหมดคือสัญญาณร่วม เมื่อรัฐ–เอกชนเดินไปด้วยกันบนข้อมูลจริง ตัวชี้วัดชัด และกำหนดเวลาได้ ไทยมีศักยภาพกลับมาเป็นจุดหมายการลงทุนและท่องเที่ยวชั้นนำของภูมิภาค พร้อมยืนระยะการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภูมิทัศน์การแข่งขันของการท่องเที่ยวไทยรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน และตัวชี้วัดสำคัญคือ “ขีดความสามารถในการแข่งขัน” เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพารายได้ต่างประเทศสูง โดยประมาณ 60% ของจีดีพีมาจากการส่งออก และอีกกว่า 10% มาจากการท่องเที่ยว รวมสองเครื่องยนต์คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของรายได้ทั้งประเทศ
“ค่าเงินบาท” กลายเป็นต้นทุนหลักของทั้งสองเครื่องยนต์ ในช่วงต้นปี 2568 ถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งขึ้นราว 7% และหากนับย้อนหลัง 17 เดือน แข็งค่ากว่า 17% แล้ว ย่อมกดทับความสามารถด้านราคาของผู้ส่งออกและทำให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ
ปี 2562 (ก่อนโควิด-19) ไทยรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39.9 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 2 ล้านล้านบาท และเมื่อรวมตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศรวมเป็นราว 3 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 18% ของจีดีพี
จึงมองว่าในระยะถัดไป หากไทยดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ระดับ 70 ล้านคน (ใกล้เคียงประเทศท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่อย่างฝรั่งเศส สหรัฐ และอิตาลี) สัดส่วนรายได้ท่องเที่ยวต่อจีดีพีอาจขยับขึ้นเป็น 20–25% ช่วยให้เกิดการจ้างงานและการหมุนเวียนเม็ดเงินในประเทศอย่างกว้างขวาง
สำหรับไฮซีซัน 3 เดือนสุดท้ายของปี 2568 มองว่า “ชี้เป็นชี้ตาย” เพราะเป็นช่วงที่ต่างชาติเดินทางสูงสุด แต่ไทยกำลังเสียเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นจากสองปัจจัยหลัก คือ เงินเยนอ่อนค่าทำให้ค่าครองชีพนักท่องเที่ยวถูกลง และภาพลักษณ์เรื่องความสะอาด–ปลอดภัยที่เด่นชัด
ประกอบกับนโยบายและกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงรุกของรัฐบาลญี่ปุ่น จึงเห็นนักท่องเที่ยวจีนไหลไปญี่ปุ่นมากขึ้น ขณะเดียวกันเวียดนามก็ดึงนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตรงกันข้ามกับไทยที่ยังเผชิญแรงกดดันจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและข่าวเชิงลบ ส่งผลให้ตลาดจีนชะลอตัว แม้จะมีอินเดีย รัสเซีย และยุโรปเข้ามาชดเชย แต่ปริมาณยังสู้จีนไม่ได้ ภาพรวมจึงยังติดลบ
ด้านข้อเสนอ ภาคเอกชนต้องการเห็นการลด “โครงสร้างต้นทุน” อย่างจริงจัง โดยเฉพาะต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภค (ค่าไฟฟ้า–ค่าน้ำ) ซึ่งมีผลต่อทั้งภาคผลิตและบริการ ขณะเดียวกันภาวะย้ายฐานการผลิตจากจีนและประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามภาษีเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดโอกาสให้ไทยเป็นฐานผลิต แต่ไทยยังเสียเปรียบเพื่อนบ้านเรื่องค่าพลังงาน จึงจำเป็นต้องทำให้ “ต้นทุนระดับประเทศ” ดีขึ้นควบคู่กัน
“ต้นทุนแฝง” ที่มองไม่เห็นจากกฎหมายจำนวนมากเกินจำเป็น—นับรวมกันกว่าหนึ่งแสนฉบับ—ซึ่งหลายฉบับไม่เอื้อต่อธุรกิจและกลายเป็นอุปสรรค จึงควรเร่งปรับปรุงกฎหมายให้ทันโลกและลดความซ้ำซ้อนที่ไม่จำเป็น
ในมิติการเงิน ต้นทุนทางการเงินและ “การเข้าถึงแหล่งทุน” มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ซึ่งขณะนี้สัดส่วนหนี้เสีย (NPL) ของเอสเอ็มอีไทยเพิ่มขึ้นถึง 7.6% ถือว่าน่ากังวล เพราะสะท้อนความเปราะบางและกดทับกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ
“เงินบาทแข็งมีข้อดีต่อการนำเข้าและการลงทุน” ว่าเป็นการพูด “ผิดกาลเทศะ” เนื่องจากช่วงนี้ประเทศต้องอยู่ในโหมด “หารายได้เข้าประเทศ” ผ่านการส่งออกและการท่องเที่ยว
ค่าเงินจึงควรอยู่ในระดับเหมาะสมราว 34–35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่แข็งมาบริเวณ 31 บาท เพราะจะยิ่งซ้ำเติมความสามารถในการแข่งขันของทั้งผู้ส่งออกและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เผชิญปัจจัยลบรอบด้านอยู่แล้ว
ทั้งข่าวลวง ข่าวจริงเรื่องความปลอดภัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นตลาดหลักอย่างจีน แม้มีตลาดอื่นช่วยพยุง แต่ยังไม่ชดเชยเชิงปริมาณได้ครบถ้วนในภาพรวม
ภาคการท่องเที่ยว :
นาย ชัย อรุณานนท์ชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การท่องเที่ยวคือเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยที่ช่วยสร้างรายได้และกระจายโอกาสไปยังท้องถิ่นและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเมื่อประเทศไทยเผชิญวิกฤต การท่องเที่ยวคือส่วนสำคัญที่สามารถเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจได้
ในปีที่ไทยเคยทำสถิติสูงสุด ประเทศมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเกือบ 40 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12% ของจีดีพี และเมื่อรวมกับการท่องเที่ยวภายในประเทศอีก 1 ล้านล้านบาท สัดส่วนการท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ 18% ของจีดีพี ตัวเลขนี้สะท้อนความสำคัญของการท่องเที่ยวในฐานะกลไกหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกระจายเม็ดเงินสู่ฐานราก
ปัญหาสำคัญที่ยังเป็นอุปสรรคคือระบบการคมนาคมและโลจิสติกส์ แม้ปัจจุบันไทยมีโครงการรถไฟ รถไฟฟ้า และระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงไปถึงแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนหรือต่างจังหวัดได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่มีรถส่วนตัว
“ถ้าภาครัฐสามารถบูรณาการระบบการเดินทางให้เชื่อมต่อได้จริง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถสาธารณะ หรือการเชื่อมต่อจากสถานีใหญ่ไปยังชุมชน นั่นจะช่วยให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น และเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นโดยตรง
อีกประเด็นที่คุณชัยหยิบยกคือ กระบวนการขอวีซ่า ที่ยังล่าช้า และ สนามบินที่แออัด โดยเฉพาะสุวรรณภูมิและดอนเมืองที่มักมีปัญหาความหนาแน่นเกินกำลังรองรับ ปัญหาเหล่านี้สะท้อนภาพลักษณ์ที่ไม่เอื้อต่อการเป็นประเทศท่องเที่ยวชั้นนำ
เสนอให้รัฐบาลเร่งแก้ไขขั้นตอนการขอวีซ่าให้ทันสมัยและรวดเร็วขึ้น รวมถึงลงทุนเพิ่มศักยภาพสนามบิน เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซัน

ผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทำให้หลายสายการบินยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการเต็มรูปแบบ ส่งผลให้เกิด คอขวดด้านการเดินทาง นักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะจาก จีนและญี่ปุ่น ไม่สามารถหาตั๋วเครื่องบินได้เพียงพอ
“นักท่องเที่ยวอยากมา แต่ไม่มีไฟลท์บินเพียงพอ นี่คือปัญหาที่เราต้องเร่งแก้” พร้อมเสนอให้รัฐผลักดันให้สายการบินไทยและต่างชาติกลับมาเปิดเส้นทางการบินเพิ่มขึ้น เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดดังกล่าว
ในอีกด้านหนึ่งความสำคัญของการพัฒนาผู้ประกอบการให้ก้าวทันโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นเครื่องมือทำตลาด ยกตัวอย่าง TagThai แพลตฟอร์มท่องเที่ยวสัญชาติไทย ที่สามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับนักท่องเที่ยว ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ และทำให้รายได้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทย
เป้าหมายของการท่องเที่ยวไทยไม่ควรมองเพียง “ปริมาณ” นักท่องเที่ยว แต่ต้องมุ่งไปที่การสร้างฐาน นักท่องเที่ยวคุณภาพ (High-spending tourists) ที่ใช้จ่ายสูงและมีคุณภาพการเดินทาง
“เราต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพ แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยก็ต้องไม่มักง่าย ไม่ทำลายภาพลักษณ์ เพราะภาพรวมของประเทศขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย”
สถานการณ์ใน 7 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบหนักจากความไม่สงบต่อเนื่องตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่นต่างประสบปัญหาขาดรายได้ เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งพิจารณามาตรการแก้ไขเพื่อฟื้นฟูความมั่นใจ และขอให้สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลอย่างแม่นยำ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวทั้งประเทศ
ภาคหอการค้า :
นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สูตรสำเร็จเดิมใช้ต่อไม่ได้” ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวรับโลกธุรกิจที่เปลี่ยนเร็ว ตั้งแต่รีดีไซน์แพ็กเกจบริการให้ตรงพฤติกรรมผู้บริโภคใหม่ ผสานเทคโนโลยีและดิจิทัลในทุกจุดสัมผัสของลูกค้า ไปจนถึงสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่คล่องตัว กล้าทดลอง และเรียนรู้จากความผิดพลาดเล็ก ๆ เพื่อเร่งรอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ
ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้อง “ทำงานแบบเอกภาพ” แก้คอขวดเชิงโครงสร้างที่กระทบประสบการณ์จริงของนักท่องเที่ยว ตั้งแต่สนามบิน (ระบบลำเลียงกระเป๋าที่ล่าช้า) ระบบสัมปทาน ด่านตรวจคนเข้าเมือง ไปจนถึงโครงข่ายถนนและการเชื่อมต่อเมือง แหล่งท่องเที่ยว ทั้งหมดคือ “ประตูความประทับใจแรก” ที่ต้องราบรื่นเท่าปลายทางอย่างโรงแรม ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยว
“การท่องเที่ยวคือ Quick Win” เงินลงระบบเร็วและกระจายกว้างถึงเอสเอ็มอี โฮสเทล โฮมสเตย์ ร้านอาหาร รถรับส่ง และไกด์ท้องถิ่น จึงต้องขยับจากการหว่านกว้างไปสู่การ “เจาะลึกตามเซกเมนต์และรายประเทศ” โดยเฉพาะตลาดจีนที่เปลี่ยนไป เช่น ครอบครัวเมืองรอง สุขภาพ เวลเนส กอล์ฟ วัฒนธรรม หรือกลุ่มแฟนมีต ควบคู่การออกแบบแพ็กเกจ “บิน–พัก–ทำกิจกรรม” ที่ตรงใจแต่ละกลุ่ม
อีกด้านคือ “ไส้ในการเงิน” ของธุรกิจท่องเที่ยว ผู้ประกอบการจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงสภาพคล่องแม้มีดีมานด์จริง จึงเสนอให้ร่วมมือธนาคารแห่งประเทศไทยตั้ง “ช่องทางด่วน” สำหรับผู้ประกอบการที่มีพอร์ตการจอง ออกแบบหลักประกันทางเลือกหรือค้ำประกันร่วม และกำหนดเกณฑ์เครดิตที่สอดรับรายได้ตามฤดูกาลของธุรกิจท่องเที่ยว
เรื่องความปลอดภัยเป็นตัวแปรเชิงจิตวิทยาที่ชี้ขาดการตัดสินใจไป ไม่ไป ต้องมี “พิมพ์เขียว Tourist Safety” รายจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ทำงานแบบศูนย์ประสานเดียว ขั้นตอนเดียว พร้อมสื่อสารความคืบหน้าคดีเชิงรุกและมาตรการคุ้มครองอย่างโปร่งใส พร้อมยกระดับมาตรฐานผู้ประกอบการ “ไม่ซี้ซั้ว ไม่มักง่าย ไม่เทา” เพื่อไม่ให้ผู้เล่นส่วนน้อยทำลายความเชื่อมั่นทั้งระบบ
ในเชิงตลาด ควรเปลี่ยนจากวาทกรรมกว้าง ๆ อย่าง “New Thailand” มาสู่แคมเปญรายปี “Thailand 2026/2027” ที่ทำให้ “มาแล้วอยากกลับมาอีก” ผ่านธีม ประสบการณ์ และกิจกรรมที่แตกต่างกันในแต่ละปี มีเส้นทางซิกเนเจอร์/ป็อปอัปต่อเนื่อง พร้อมระบบสมาชิก–พอยต์ข้ามจังหวัด เพื่อดันสัดส่วนผู้กลับมาเที่ยวซ้ำให้เพิ่มขึ้นเป็นตัวชี้วัดสำคัญ
เพื่อกดต้นทุนช่องทางขายในอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวต่อราคา ควรหนุนการใช้แพลตฟอร์มไทยอย่าง TagThai ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ลดค่าคอมมิชชั่น เปิดพื้นที่แฟลชดีล พาสรายเส้นทางตามธีมปี และ