ทั่วโลกจ้อง "ตะครุบ" คนเก่ง "โอกาสทอง" หลังทรัมป์ขึ้นค่าวีซ่า
ต่อจากการบุกจับคนงานของบริษัท "ฮุนได" ซึ่งเข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา ตามคำขอของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าเข้ามาทำงานโดยผิดกฎหมาย ในจำนวนนั้นมีผู้เชี่ยวชาญและวิศวกรจากเกาหลีใต้ ซึ่งเข้าไปช่วยวางระบบโรงงานที่กำลังก่อสร้าง
จนทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่พอใจอย่างหนัก เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติ แถมยังควบคุมตัวไว้นานถึง 1 สัปดาห์ ในห้องที่หนาวเย็น ห้องน้ำที่สกปรก น้ำดื่มที่ไม่สะอาด ทำให้บริษัทเกาหลีใต้ระงับการก่อสร้างโรงงานไว้ก่อน ทำให้โรงงานล่าช้าออกไป แม้ว่าในภายหลังทรัมป์จะอนุญาตให้คนเหล่านั้นอยู่ต่อ แต่พวกเขาเลือกที่จะกลับประเทศกันหมด
ล่าสุด “โดนัลด์ ทรัมป์” มีประกาศใหม่ออกมาในการจำกัดและเข้มงวดคนงานทักษะสูงจากต่างชาติ เพื่อสงวนงานไว้สำหรับคนอเมริกัน นั่นก็คือเพิ่มค่าธรรมเนียมสำหรับต่างชาติที่ต้องการขอวีซ่าประเภท H-1B ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญพิเศษในแขนงต่าง ๆ เป็น 100,000 ดอลลาร์ จากเดิมประมาณ 1,500 ดอลลาร์ โดยบังคับใช้กับรายใหม่เท่านั้น แต่จะไม่กระทบผู้ที่มีวีซ่านี้อยู่เดิม
ถือเป็นอีกหนึ่งเซอร์ไพรส์ “ด้านลบ” และเป็นความเคลื่อนไหวที่ก้าวร้าวที่สุดในการจำกัดวีซ่าการทำงานสำหรับต่างชาติ ที่จะส่งผลสะเทือนต่อบริษัทอเมริกัน และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคต โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี ที่แต่เดิมวีซ่า H-1B นี้ช่วยให้บริษัทอเมริกันดึงดูดคนมีความสามารถระดับ “หัวกะทิ” จากทั่วโลกมาทำงาน อันนับเป็นจุดแข็งที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของสหรัฐด้านเทคโนโลยี
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าดังกล่าวของสหรัฐ จุดประกายให้ประเทศอื่น ๆ เห็นเป็นโอกาสที่จะ “แย่งตัว” ผู้มีความสามารถเหล่านี้ โดยเฉพาะยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย
ชาร์ลส์-เฮนรี มอนโช หัวหน้าเจ้าหน้าที่ลงทุนของ Syz Group ระบุว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าดังกล่าวหลายเท่าตัว จะสร้างความเจ็บปวดต่อสหรัฐในแง่ของนวัตกรรม แต่มันจะเป็นโอกาสทองของสหราชอาณาจักรดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งจีนเอง
แฮร์รี สเต็บบิงส์ ผู้ก่อตั้งกองทุนสำหรับสตาร์ตอัพ ในสหราชอาณาจักรกล่าวว่า ทรัมป์ได้ยื่น “โอกาสอันยิ่งใหญ่” ให้กับยุโรป เพราะที่ผ่านมาภัยคุกคามใหญ่ที่สุดสำหรับนวัตกรรมของยุโรปก็คือการสูญเสียผู้มีความสามารถ จึงขอเรียกร้องให้สหราชอาณาจักรมอบวีซ่าประเภทนี้ให้กับคนเก่งจากต่างประเทศอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้สหราชอาณาจักรเป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดคนเก่ง
คำเรียกร้องของสเต็บบิงส์มีขึ้นหลังจากสหราชอาณาจักรกำลังหาหนทางที่จะยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับคนเก่งจากทั่วโลก ซึ่งเป็นแนวทางที่ตรงข้ามกับสหรัฐอเมริกา โดยหนึ่งในทางเลือกที่เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษกำลังพิจารณาก็คือ “ยกเลิก” การเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับคนต่างชาติที่อยู่ในระดับ “สุดยอด” ของแต่ละสาขาอาชีพ
บาร์นีย์ ฮัสซีย์-เหยียว ซีอีโอบริษัทคลีโอ ซึ่งเป็นสตาร์ตอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ของอังกฤษเปิดเผยว่า หลังจากสหรัฐอเมริกาขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ตนได้รับข้อความจากผู้ที่มีทักษะสูงที่กำลังพิจารณาจะออกจากสหรัฐมากกว่า 1,000 ราย ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้สำเร็จการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งที่กำลังทำงานในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ดังนั้น สหราชอาณาจักรควรพิจารณาทำทุกอย่างเพื่อให้เป็น “จุดหมายปลายทางแรก” ของคนที่มีความสามารถระดับโลกเหล่านี้
สจ๊วต แอนเดอร์สัน ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธินโยบายอเมริกาเตือนว่า นโยบายดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อสหรัฐ ถ้าหากมันจูงใจให้บริษัทอเมริกันย้ายงานไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในสาขาที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญอย่างการวิจัยและพัฒนา และผลกระทบต่อเนื่องที่ตามมาก็คือ จำนวนนักศึกษาจากต่างประเทศที่เคยสนใจจะเข้ามาศึกษาในสหรัฐจะลดลง ถ้าหากไม่มีโอกาสทำงานในสหรัฐ
ในปีที่แล้วประเภทงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดผ่านวีซ่า H-1B ก็คือนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิขอวีซ่าดังกล่าวต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ แต่ละปีสหรัฐจำกัดการออกวีซ่าใหม่ไว้ที่ 65,000 ราย แต่สามารถเพิ่มได้อีก 20,000 ราย สำหรับลูกจ้างที่จบปริญญาโทหรือสูงกว่า
บริษัทอเมริกันทั้งบริษัทการเงินและเทคโนโลยี มักคัดเลือกคนเก่งจากอินเดียและจีนเป็นส่วนใหญ่ โดยอินเดียครองส่วนแบ่งมากที่สุด ในปีที่แล้ว (2024) มีคนอินเดียได้รับวีซ่า H-1B คิดเป็น 71% จีน 11.7% จากจำนวนทั้งหมด
บริษัทเทคโนโลยีเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากโครงการวีซ่าดังกล่าว โดยลูกจ้างของอเมซอนได้รับวีซ่า H-1B มากที่สุดในปี 2024 จำนวนมากกว่า 14,000 ราย ตามด้วย ทาทา คอนซัลแทนซี, ไมโครซอฟท์, แอปเปิล และกูเกิล แห่งละ 4,000-5,000 ราย
หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งดังกล่าว บริษัทเทคโนโลยีและการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ทั้งอเมซอน, ไมโครซอฟท์, เจ.พี. มอร์แกน เชส ต่างออกคำแนะนำลูกจ้างต่างชาติในลักษณะคล้ายกัน เช่น ให้อยู่แต่ในสหรัฐ ส่วนผู้อยู่ในต่างประเทศต้องกลับมาให้ทันก่อนที่คำสั่งดังกล่าวของทรัมป์จะมีผลบังคับ หลีกเลี่ยงเดินทางไปต่างประเทศ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสถานะของคนเข้าเมืองของเจ้าตัว
การเพิ่มค่าธรรมเนียมวีซ่าสูงลิบเพื่อจำกัดคนเก่งจากต่างชาติ ก่อให้เกิดเสียงแตกเป็นสองฝ่ายในทีมของทรัมป์ มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน โดยหนึ่งในผู้คัดค้านก็คืออีลอน มัสก์ แห่งเทสลา ซึ่งเคยเป็นคนใกล้ชิดทรัมป์
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าการกระทำของทรัมป์ในครั้งนี้ ตรงข้ามกับช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อหวังจะได้คะแนนเสียงจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งในครั้งนั้นทรัมป์ประกาศว่าจะอำนวยความสะดวกให้คนเก่งเข้ามาในสหรัฐง่ายขึ้น หรืออาจให้กรีนการ์ดแก่ผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยด้วยซ้ำ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 29 กันยายน 2568