ส่งออกไทยไตรมาส 4 เสี่ยงหดตัวลง เหตุสหรัฐฯเพิ่มภาษีนำเข้ารายอุตฯ
KEY POINTS :
* สหรัฐฯ ขยายนโยบายกีดกันทางการค้าโดยเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าในรายอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น ยา รถบรรทุก และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย
* คาดการณ์ว่าภาคส่งออกไทยในไตรมาสที่ 4 มีความเสี่ยงที่จะหดตัวลงจากผลของนโยบายภาษีสหรัฐฯ และการชะลอตัวของการค้าโลก
* ไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากภาษีประเภทอื่นเพิ่มเติม เช่น ภาษีสวมสิทธิ์ (Transshipment Tariff) และภาษีพิเศษภายใต้มาตรา 232 เนื่องจากสินค้าส่งออกมีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบสูง
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่าจะมีการขยายขอบเขตนโยบายกีดกันการค้ามายังสินค้ารายอุตสาหกรรมมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทยในระยะต่อไปเพิ่มขึ้นอีก
จากก่อนหน้านี้ มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง เช่น เหล็ก อลูมิเนียม รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ล่าสุด ขยายมายัง ยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตร (เก็บภาษีนำเข้า 100%) รถบรรทุกขนาดใหญ่ (เก็บภาษีนำเข้า 25%) เฟอร์นิเจอร์ตู้ครัวและอ่างล้างหน้า (เก็บภาษีนำเข้า 50%)
โดยเป็นเรื่องที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมส่งออกไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด และ เตรียมรับมือผลกระทบให้ดี เนื่องจากกิจการส่งออกไทยบางอุตสาหกรรมอาจกระทบหนักโดยเฉพาะสินค้าที่อาศัยตลาดสหรัฐฯเป็นตลาดหลัก
ซึ่งคาดว่าการเก็บภาษีนำเข้ารายอุตสาหกรรมของรัฐบาลทรัมป์อาจมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตเพื่อชดเชยรายได้ที่อาจหายไปหากศาลสหรัฐยกเลิกคำสั่งประธานาธิบดีในการขึ้นภาษีนำเข้าประเทศต่างๆก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมส่งออกไทยมีสัดส่วนการใช้ Import Content สูงประมาณ 40% ของมูลค่าส่งออกในจำนวนนี้มีสินค้าที่ใช้ Local Content ต่ำและอาจเข้าข่ายสินค้าส่งออกที่อาจเจอกับภาษีสวมสิทธิ์ (Transshipment Tariff) ในอัตรา 40%
ซึ่งเรื่องนี้ต้องเจรจาทางการค้ากับทางสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมและควรรีบดำเนินการให้ได้ข้อสรุปในรัฐบาลชุดนี้ ไม่สามารถรอรัฐบาลหลังการเลือกตั้งได้นอกจากนี้ ไทยอาจเจอภาษีเฉพาะเจาะจงพิเศษภายใต้มาตรา 232 เป็นการเก็บอัตราภาษีไม่ตายตัว เช่น เก็บภาษีเหล็ก 50% ตามมูลค่าเนื้อเหล็กที่สินค้านั้นๆใช้ในการผลิต อาจเจออัตราภาษี 25% ไม่ใช่ 19% เป็นต้น
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า มีความเสี่ยงที่ภาคส่งออกไตรมาสสี่จะหดตัวลงจากนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้ารายอุตสาหกรรมและการชะลอตัวลงของมูลค่าการค้าโลก โดยสัญญาณของการชะลอตัวนี้เริ่มปรากฎตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมูลค่าส่งออกเดือนสิงหาคมชะลอตัวลงเหลือ 5.8% จาก 11% เดือนก่อนหน้า การส่งออกที่ขยายตัว 5.8% ในเดือนสิงหาคม เกือบครึ่งหนึ่งเป็นการส่งออกทองคำที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการผลิตและการจ้างงานภายในประเทศ เป็นลักษณะธุรกรรมการค้า นำเข้ามา แล้วขายออกไป แม้อัตราการว่างงานทั้งระบบยังอยู่ในระดับต่ำแต่ตัวเลขผู้รับสิทธิประโยชน์การว่างงานในระบบประกันสังคมยังเพิ่มขึ้น
การปรับโครงสร้างองค์กรและการนำเทคโนโลยีมาใช้ อาจส่งผลต่อการเลิกจ้างในบางอุตสาหกรรม การชะลอตัวของภาคส่งออก ภาคเกษตรกรรม ภาคการท่องเที่ยว นำไปสู่การลดชั่วโมงทำงาน ลดค่าจ้างและเลิกจ้างเพิ่มขึ้นได้ รัฐบาลต้องมีมาตรการชะลอการเลิกจ้างเชิงรุกและเร่งลงทุนโครงการต่างๆที่ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ ซึ่งจะได้ผลในการแก้ปัญหาหนี้สินและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าการแจกเงิน เศรษฐกิจไทยเผชิญหลุมรายได้ที่หายไปในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโควิดประมาณ 6 ล้านล้านบาท
ฉะนั้นต้องทำอย่างไรให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อเติมเต็มหลุมรายได้ที่หายไป และ มีการกระจายตัวของรายได้ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาหลังวิกฤติเศรษฐกิจโควิด ไทยยังคงมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าศักยภาพ ปัจจัยที่จะทำให้การเติบโตอย่างยั่งยืน คือ การลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สอดรับกับพลวัตแห่งการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 29 กันยายน 2568