ถอดบทเรียน "อิตาลี-สเปน" วินัยคลังกลางวิกฤติหนี้โลก
ท่ามกลาง "วิกฤติหนี้ทั่วโลก" ที่กำลังทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างกลุ่ม G7 ไม่ว่าจะเป็น "สหรัฐ" ซึ่งถูก "มูดี้ส์" ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง
หรือแม้แต่ “ฝรั่งเศส” ที่ถูก “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ปรับอันดับเครดิตลงเช่นกัน เนื่องจากมีระดับหนี้สาธารณะที่สูงถึง 114% ของจีดีพี แต่ในวังวนหนี้โลกที่กำลังอลหม่าน กลับพบว่ามี 2 ประเทศได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ นั่นคือ “อิตาลี” และ “สเปน”
“สเปน” นับเป็นตัวอย่างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้อย่างสมดุล มีการพัฒนาตลาดแรงงานในเชิงบวก และภาคธนาคารก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ทำให้ 2 บริษัทจัดอันดับเครดิตทั้ง “มูดี้ส์” และ “ฟิทช์” พร้อมใจกันปรับขึ้นเครดิตเรทติ้งส์ให้กับสเปน ส่งผลให้อันดับเครดิตอยู่ในระดับสูงสุดรอบ 13 ปี ความสำเร็จนี้เป็นการต่อยอดการฟื้นฟูครั้งใหญ่ หลังสเปนเคยถูกลดเครดิตลงเกือบจะถึงชั้นขยะ (Junk Bond) ในช่วงวิกฤติหนี้ยูโรโซนช่วงปี 2012-2014
ส่วน “อิตาลี” เป็นบทเรียนที่ชัดเจนในเรื่อง “วินัยการคลัง” โดย “ฟิทช์” ได้ขยับเครดิตของอิตาลีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ซึ่งฟิทช์ระบุว่า การปรับเพิ่มความน่าเชื่อถือครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อทิศทางการคลังของอิตาลี ซึ่งเป็นผลจากความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายทางการคลังภายใต้กรอบวินัยใหม่ของสหภาพยุโรป โดยอิตาลีสามารถลดการขาดดุลงบประมาณและยังสร้างสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่มีเสถียรภาพขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ...ครั้งหนึ่ง “อิตาลี” เคยถูกตราหน้าว่าเป็น “คนป่วยแห่งยุโรป”
ย้อนหลับมาดู “ไทย” สถานการณ์หนี้สาธารณะ ล่าสุดอยู่ในระดับ 65% ต่อจีดีพี แม้จะยังต่ำกว่าเพดาน 70% แต่ระดับหนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับการจัดเก็บรายได้ที่พลาดเป้าต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเราก็เพิ่งโดน “ฟิทช์” ปรับมุมมองเครดิตจาก “เสถียรภาพ” สู่ “เชิงลบ” ในขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ก็ออกโรงเตือนถึงพื้นที่การคลังของไทยที่มีขอบจำกัดลงเรื่อยๆ
บทเรียนจาก “อิตาลี” และ “สเปน” จึงน่าจะเป็นแนวปฏิบัติที่รัฐบาลไทยควรหยิบมาพิจารณาปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและการคลัง เราเข้าใจว่า “ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเติบโตจากฝั่งการคลังแถมยังเป็นเทคโนแครตแถวหน้าของประเทศในฝั่งการคลัง จึงน่าจะเข้าใจสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี เพราะเจ้าตัวประกาศว่าแม้จะมีกรอบการทำงานสั้นๆ แค่ 4 เดือน แต่เขามีแผนงานสำคัญ คือ ปฏิรูปการคลังที่ชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ เราหวังว่ารัฐบาลจะเอาจริงเอาจังกับคำพูดนี้ เพราะอย่างน้อยถ้าเริ่มเห็นแผนงานที่ดูเป็นรูปธรรม เครดิตเรทติ้งของไทยคงไม่ถูกหั่นลงไปมากกว่านี้ ไม่งั้นคงสะเทือนทั้งประเทศ!
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 1 ตุลาคม 2568