เปิดข้อมูล "ศุภจี" แจงสภาครั้งแรก ลุยเต็มที่ เจรจา-FTA-สินค้าเกษตร-ชายแดน
"ศุภจี" แจงสภาครั้งแรก แม้รัฐบาลทำงาน 4 เดือน แต่พร้อมเดินหน้าลดค่าครองชีพ ดูแลเกษตรกร ดันเจรจาการค้าสหรัฐ-FTA ดูแลปัญหาชายแดนยกระดับสินค้าเกษตรผลักดันส่งออกข้าว พร้อมร่วมมือทุกภาคส่วนปกป้องผู้ประกอบการไทย
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวระหว่างชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ที่ผ่านมาว่า นโยบายเศรษฐกิจภายใต้หลักการ “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์
โดยเฉพาะประเด็นการเจรจาการค้ากับสหรัฐ มาตรการลดค่าครองชีพ ป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศทะลัก-นอมินี การเพิ่มขีดความสามารถ SMEs และการดูแลสินค้าเกษตร
ลุยเจรจาสหรัฐ :
สำหรับนโยบายทางการค้าของสหรัฐ ต้องเห็นพ้องต้องการว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาระบบส่งออกถึง 60% ของ GDP และสหรัฐมีมูลค่าส่งออกทั้งหมด 18% ดังนั้นมีสัดส่วนถึง 10% ของ GDP ถือว่ามีความสัมพันธ์มากที่จะต้องเดินหน้าเจรจาเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
โดยความคืบหน้าการเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐ ไทยสามารถสรุปแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เนื่องจากรัฐบาลมีเวลาในการทำงานจำกัด 4 เดือน ไทยจะเร่งสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลง การค้าต่างประเทศ (Agreement on Reciprocal Trade : ART) ภายในปี 2568 นี้ ซึ่งยังต้องมีการเจรจาในเรื่องทางเทคนิค ซึ่งจะครอบคลุมทั้งการเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน โดยจะดำเนินการเจรจาอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อภาคการผลิตและตลาดในประเทศ
เฝ้าระวังออกใบอนุญาต :
นอกจากนี้ การออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ซึ่งเราได้ร่วมทำงานกับ 3 หน่วยงาน คือ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และปัจจุบันนี้การดำเนินการออกใบอนุญาตจะอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์เท่านั้น และเราได้มีการปรับปรุงรายการ สำหรับการส่งออกไปสหรัฐ เพิ่มรายการสินค้าเฝ้าระวังเป็น 65 รายการ จาก 49 รายการ
และใช้ AI ตรวจสอบถิ่นกำเนิด ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่งมั่นใจว่าจะทำได้ภายใน 4 เดือน และเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่และอาจจะมีคนเข้าใจไม่มากนัก เราก็จะเร่งทำความเข้าใจโดยประสานมือกับทุกหน่วยงาน ในการทำความเข้าใจเรื่องของการทำ เรื่องของแหล่งถิ่นกำเนิดสินค้าและการออกใบอนุญาต จะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อคลายกังวลให้กับทุกฝ่ายได้รับรู้
ขณะที่การออกมาตรการป้องกันการปลอมแปลงเอกสารอย่างเข้มงวด ส่งผลให้จำนวนการปลอม Form C/O ลดลงอย่างชัดเจน ก่อนการใช้ระบบการป้องกันการปลอมแปลง ได้พบการปลอมแปลงเป็นจำนวนมากจริง คือ ปี 2565 พบการปลอม 149 ฉบับ ปี 2566 พบการปลอม 168 ฉบับ แต่เมื่อนำระบบการป้องกันการปลอมแปลงมาใช้ในปี 2567 พบการปลอมแปลงเพียง 5 ฉบับ และในปี 2568 ยังไม่พบการปลอมแปลงเลย
“ซึ่งปัญหานั้นมันเกิดขึ้นในอดีต ต้องยอมรับว่าการออกใบอนุญาตอาจจะมีการตรวจสอบไม่เต็มที่ แต่เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาดูแลจะเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัย ในการออกใบอนุญาต ผ่านระบบที่เราดำเนินการขึ้น ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าการออกใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่”
ไทยใช้มาตรการป้องปกอุตสาหกรรมในประเทศ :
ปัจจุบันไทยใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) จำนวน 31 กรณี ไม่ใช่ 6 กรณี ขณะที่ไทยถูกใช้มาตรการนี้จากต่างประเทศรวม 73 กรณี ส่วนมาตรการหลบเลี่ยง (AC) ไทยใช้ 6 กรณี และถูกใช้กับไทย 4 กรณี สำหรับมาตรการปกป้อง (SG) ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน ส่วนมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) ไทยยังไม่ได้ใช้เอง แต่มีการถูกใช้จากต่างประเทศ เช่น สหรัฐ 7 กรณี เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางปรับปรุง
กระบวนการกว่าจะนำเรื่องเข้ามาในระบบไต่สวนจากมาตรการต่าง ๆ ซึ่งมีระยะเวลาในการดำเนินการ ซึ่งก็ได้มอบนโยบายเพื่อให้มีความสะดวกมากขึ้น ดังนี้
1)ลดระยะเวลาการรับคำร้องจากเดิม 4 เดือน เหลือ 1 เดือน
2)ใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก เพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็ว ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 3 เดือน
3)ลดเวลาการไต่สวนจาก 12 เดือน เหลือ 9 เดือน เพื่อช่วยให้การไต่สวนการร้องเรียนการท่วมตลาดให้มีความรวดเร็วมากขึ้น
มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้กระบวนการตรวจสอบและปกป้องการค้าของไทยรวดเร็วขึ้น ช่วยผู้ประกอบการไทยรับมือการทุ่มตลาดและปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพ :
เรื่องแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพทะลักจากต่างประเทศและธุรกิจนอมินี กระทรวงพาณิชย์ภายใต้คณะกรรมการฯ ร่วมกับ 16 หน่วยงาน อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักพัฒนาธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ได้ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งผลสัมฤทธิ์ คือ
ปัจจุบันสามารถจัดเก็บ VAT จากสินค้า มูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท เรามีรายได้นำเข้ารายย่อยกว่า 2,175 ล้านบาท ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด 81,719 คดี มูลค่าความเสียหาย 3,541 ล้านบาท ตรวจสอบสินค้าออนไลน์กว่า 54,000 รายการ ตรวจสอบไปแล้วเข้าข่ายกระทำผิด 35,964 รายการ
และได้มีการแจ้งเตือนไปแล้ว 18,904 รายการ และถอดสินค้าออกจำนวน 17,177 รายการ ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลที่จะดำเนินการเพื่อปกป้องสินค้าทะลักที่เข้ามาไม่มาทำร้ายผู้ผลิตไม่ว่าจะสินค้าเกษตรอุปโภคบริโภคในประเทศ พร้อมใช้ AI กำกับดูแลตลาดอีคอมเมิร์ซ และเข้มงวดปราบปรามธุรกิจนอมินี
ดูแลผู้ประกอบการ SMEs
พร้อมกันนี้ เรามีมาตรการที่จะเข้ามาช่วยเหลืออย่างน้อย ในช่วงที่รัฐบาลเข้ามาในช่วงระยะเวลาอันสั้นใน 6 มาตรการด้วยกัน คือ
1)ขยายตลาดใหม่ ซึ่งเราดำเนินการแน่นอนพร้อมเจาะประเด็นว่าสินค้าอะไรที่จะไปตลาดไหน เรามองเอเชียใต้มีมูลค่าสินค้าและมีความต้องการสินค้าที่ตรงกับการผลิตของไทย ตะวันออกกลางแอฟริกาหรือละตินอเมริกา ซึ่งเป็นการขยายตลาดเน้นให้ SMEs ไทยสามารถในการเปิดตลาด
2)พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการโดยการทำ Content Online หรือการวิเคราะห์ข้อมูล Data เพื่อสร้างยอดขาย เป็นการพัฒนาศักยภาพให้ความรู้กับผู้ประกอบการ ธุรกิจอาหารสุขภาพ ความงาม ขนส่ง ธุรกิจครอบครัว ค้าส่งค้าปลีก หรือแม้กระทั่งธุรกิจบริการสูงอายุ การพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการแม้จะดูแลระยะสั้นแต่ก็วางรากฐานในระยะยาวด้วยเช่นกัน
3)เพิ่มช่องทางและโอกาสทางการค้า ซึ่งเราร่วมมือกับหลายแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซทั้งไทยและต่างชาติ องค์กรภาครัฐและเอกชน
4)เพิ่มมูลค่าสินค้าบริการ โดยเฉพาะสินค้า GI ซึ่งมีมูลค่า สูงถึง 82,000 ล้านบาท ซึ่งเราเพิ่มผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นเกษตรสินค้าทั่วไปมากขึ้น ถึง 5 เท่าตัว ซึ่งปีนี้เพิ่ม 6,000 ล้านบาท และตั้งใจจะเพิ่มขึ้นกว่านี้อีกซึ่งสินค้า GI จะเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการให้กับประเทศรวมไปถึงสินค้าไทยซีเล็ค ซึ่งได้ขยายไปหลายประเทศ
5)ร่วมมือกับสถาบันการเงินเข้าถึงเงินทุนขยายตลาด
6)ช่วยการเข้าถึงแพลตฟอร์ม แก้ปัญหาของพาณิชย์กำลังเริ่มต้นปรับปรุงให้ดีขึ้น
จัดการนอมินี :
ในการดูแลเรื่องนอมินีที่ได้มีการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงเฝ้าระวัง 7 รายการ คือ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ต ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจการขายที่ดิน ซึ่งเราได้ร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการ มุ่งเน้นการดำเนินการปราบปราม ซึ่งปัจจุบัน เราได้มีหน่วยงานที่เข้ามาดูแล 475 ราย ซึ่งมีมูลค่าถึง 2,873 ล้านบาท ซึ่งยังต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง และจะไม่ละทิ้งแต่จะเน้นธุรกิจที่ดูแลพิเศษ
เดินหน้าลดค่าครองชีพ :
โดยเราให้ความสำคัญ จะเดินหน้าลดค่าครองชีพประชาชน และเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน จัดโครงการมหกรรมธงฟ้าและลดราคาสินค้ากว่า 1,300 ครั้งต่อปี ซึ่งจะทำเพิ่มขึ้นและพร้อมจะลงในพื้นที่สำคัญโดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนที่กำลังเดือดร้อน รวมไปถึงเทศกาลต่าง ๆ ช่วยลดค่าครองชีพที่จำเป็นกว่า 5,000 ล้านบาท และร่วมมือโรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา และให้ประชาชนซื้อยาจากร้านภายนอกโรงพยาบาลได้ ลดค่าใช้จ่ายรวม 32,400 ล้านบาท พร้อมควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็นอีกกว่า 1,100 ล้านบาท
“เราจะเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนได้รับรู้เรื่องของราคาค่ายาก่อนจ่ายเงิน ก่อนที่จะตัดสินใจจะก่อนชำระ เพราะมีทางเลือกในการซื้อยานอกโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย”
ยกระดับสินค้าเกษตร :
มอบนโยบายในหลักการจัดการสินค้าเกษตรไว้ 6 หลักการสำคัญ คือ การประเมินอุปสงค์อุปทานล่วงหน้า บริหารจัดการอุปกรณ์เพิ่มอุปสงค์ตามสถานการณ์ ผลักดันส่งออกรักษาลูกค้าเดิมหาลูกค้าศักยภาพใหม่ กำหนดมาตรการนำเข้า มาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว เช่น พันธุ์ข้าวผลผลิตต่อไร่ พืชมูลค่าสูงทดแทน
โดยมาตรการดูแลสินค้าเกษตร เช่น ข้าวได้จัดให้เร่งส่งออชะลอการขายในประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้มีการมอบมาตรการควบคุมการนำเข้าแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 การกำหนดราคารับซื้อในประเทศ มันสำปะหลัง เร่งให้มีการแปรรูปเพิ่มมูลค่าส่งเสริมท่อนผ่านต้านโรคใบด่างกำกับควบคุมการนำเข้า ปาล์มน้ำมัน มีการกำหนดการรับซื้อ ผลไม้และพืช 3 หัวให้มีการเชื่อมโยงซื้อขายผลผลิตล่วงหน้าเชื่อมโยงออกนอกแหล่งผลิตและจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคทั่วประเทศ
ติดตามสถานการณ์ข้าวโลก :
สำหรับข้าวในปีการผลิต 2568/69 โลกมีผลผลิตข้าวรวม 541 ล้านตัน ใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคที่ 542 ล้านตัน แต่ยังมีสต๊อกคงเหลือกว่า 187 ล้านตัน ขณะเดียวกันอินเดียเร่งระบายข้าวค้างสต๊อกกว่า 20 ล้านตันออกสู่ตลาดโลกในราคาต่ำ และประเทศผู้นำเข้าหลักอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็จำกัดการนำเข้า ส่งผลให้เกิดภาวะอุปสงค์อุปทานไม่สมดุล ราคาข้าวในตลาดโลกถูกกดดันและส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย
และประเทศไทย ข้าวปีนี้จะมีผลผลิตรวม 21.8 ล้านตัน และเมื่อรวมกับสต๊อกต้นปี 3.5 ล้านตัน จะมีข้าวทั้งหมด 25.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นข้าวหอมมะลิ 6.8 ล้านตัน ซึ่งยังคงเป็นจุดแข็งที่ตลาดทั้งในและต่างประเทศมีความต้องการสูง ส่วนการบริโภคภายในประเทศอยู่ที่ 7.4 ล้านตัน การส่งออก (ไม่รวมข้าวหอมมะลิ) ประมาณ 5.9 ล้านตัน และต้องสำรองเพื่อความมั่นคงและเก็บเป็นเมล็ดพันธุ์ราว 3.4 ล้านตัน ทำให้เหลือข้าวส่วนเกินประมาณ 1.8 ล้านตัน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญในการบริหารจัดการต่อไป
โดยรัฐบาลได้เตรียมแนวทางรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะยาวจะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพันธุ์ข้าว การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการผลิต และการปลูกข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก รวมถึงการส่งเสริมการปลูกพืชเสริมที่มีมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรจากการปลูกแซมในสวนลำไยประมาณ 60,000-80,000 บาทต่อไร่ต่อปี
ส่วนมาตรการเร่งด่วนในช่วง 4 เดือน รัฐบาลได้เตรียมรองรับผลผลิตรวม 8.5 ล้านตัน ผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่
(1) สินเชื่อชะลอการขาย 3 ล้านตัน เพื่อดูดซับผลผลิตไม่ให้เข้าสู่ตลาดเร็วเกินไป (2) สินเชื่อสนับสนุนสถาบันเกษตรกรในการรวบรวมและแปรรูป 1.5 ล้านตัน (3) เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวเพื่อเก็บสต๊อก 4 ล้านตัน และ (4) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ พร้อมมาตรการลดต้นทุนการผลิต เช่น ลดราคาปุ๋ยและสารเคมีการเกษตรผ่าน “ธงเขียว” ทั่วประเทศ
ในด้านการส่งออก รัฐบาลเร่งเจรจาผลักดันการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) โดยเฉพาะกับจีน ภายใต้ MOU เดิม 280,000 ตัน และเสนอขยายเป็น 500,000 ตันในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน พร้อมทั้งเร่งจัดทำ MOU ใหม่กับสิงคโปร์ รวมทั้งการรักษาตลาดเดิมกับญี่ปุ่นไม่น้อยกว่าปีละ 300,000 ตัน และขยายตลาดใหม่อย่าง ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการผลักดันข้าวอินทรีย์ในยุโรปและข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกา
ดูแลปัญหาชายแดน :
และเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบ ถึงพูดที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่เฉพาะเพียงประชาชนก็รวมไปถึงผู้ประกอบการ เกษตรกร ดังนั้น จึงหามาตรการมาช่วย เพื่อดูแลในขณะที่ไม่ได้เปิดด่านการชายแดน รวมไปถึงรถผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยหามาตรการ คือ การจัดงานธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อลดค่าครองชีพ ซึ่งจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การเพิ่มช่องทางตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดน ผ่านงานมหกรรมธงฟ้าในจังหวัดอื่น รวมทั้งกิจกรรมจำหน่ายสินค้าออนไลน์ผ่านไปรษณีย์ไทย สนับสนุนผู้ส่งออกหาช่องทางใหม่ ผ่านการจับคู่ธุรกิจกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์และเข้าร่วมมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่อื่น ๆ
เร่งเจรจา FTA :
ในส่วนของข้อตกลงเขตการค้าเสรี FTA ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีข้อตกลง 14 ฉบับ 18 ประเทศ และปี 2568 ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลง STA ไทย-เอฟตา ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกของไทยไปตลาดดังกล่าวเพิ่มมูลค่าได้ 38% และนอกจากนี้พร้อมจะเร่งบรรลุข้อตกลง FTA ระหว่างไทย-อียู และไทย-เกาหลีใต้ โดยจะพยายามทำให้ได้ภายในรัฐบาลนี้
และที่สำคัญต้องผลักดันให้เอกชนมาใช้สิทธิประโยชน์ เพราะการไปเจรจา FTA มากประเทศก็ไม่ได้มีประโยชน์ ถ้าเราไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ โดยจะเร่งรัดสนับสนุนให้ความรู้ในการให้สิทธิประโยชน์กับภาคเอกชนใช้ได้จริงและหาตลาดใหม่เพิ่มเติมทั้งตะวันออกกลาง ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกา อาเซียน และเอเชียใต้ และพร้อมจะจัดกิจกรรมทางการค้าโดยเชิญผู้นำเข้าจากต่างประเทศมาเยือนประเทศไทย
“อยากเรียนท่านประธานและท่านผู้มีเกียรติด้วยความเคารพ ทางรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจและดิฉันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีความตั้งใจถึงแม้จะมีเวลาแค่ 4 เดือน แต่เชื่อมั่นว่าจะมีผลสัมฤทธิ์มาแสดงให้ท่านได้เห็น จะปรากฏเป็น KPI ให้ท่านได้ช่วยติดตาม และพร้อมพูดคุยกันเพื่อหาทางร่วมมือทำให้เราสามารถสร้างศักยภาพให้ประเทศไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 30 กันยายน 2568