"เวียดนาม" อัด งบพัฒนาอุตฯ สิ่งทอ-อิเล็กทรอนิกส์ หวังลดพึ่งพาต่างชาติ
KEY POINTS :
* รัฐบาลเวียดนามออกกฤษฎีกาใหม่เพื่อสนับสนุนงบประมาณและกระตุ้นอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะสิ่งทอและอิเล็กทรอนิกส์
* เป้าหมายหลักคือเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เช่น จีน และลดผลกระทบจากภาษีของสหรัฐ
* มาตรการจูงใจประกอบด้วยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์ การขอคำปรึกษา และการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
* นโยบายนี้มุ่งส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยกำหนดให้บริษัทที่ต้องการรับสิทธิประโยชน์ต้องใช้วัตถุดิบจาก SMEs ในประเทศอย่างน้อยหนึ่งราย
สำนักข่าวนิกเคอิเอเชีย นำเสนอบทวิเคราะห์ เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามในช่วงที่ผ่านมา ระบุว่า รัฐบาลเวียดนามเร่ิมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศในการซื้อเครื่องจักร และจัดฝึกอบรมแรงงาน ซึ่งเป็นท่าทีของรัฐบาลที่คาดว่าพยายามลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ อย่างประเทศจีน และลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐลงได้
ภายใต้กฤษฎีกา เลขที่ 205 หรือ Decree 205 เพื่อเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อ 1 ก.ย. 2568 ของรัฐบาลเวียดนาม ได้มีการเสนอมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อปรับห่วงโซ่อุปทานให้อยู่ภายในประเทศมากขึ้น
ในปัจจุบัน เวียดนามเป็นศูนย์กลางการผลิตสำหรับบริษัทต่างชาติที่กำลังเติบโต ตั้งแต่สินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง Apple ไปจนถึงแบรนด์เสื้อผ้ากีฬายอดนิยม Lululemon อย่างไรก็ตาม การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำหนดเกณฑ์ภาษีเกี่ยวกับสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนไว้ที่ 40% รวมถึงภาษีนำเข้าสินค้าอื่น ๆ ที่ 20% ส่งผลให้ผู้ผลิตส่วนใหญ่ในประเทศ ที่นำเข้าวัตถุดิบมาจากจีนต้องประสบปัญหา
กฤษฎีกาฉบับนี้มีเนื้อหาสนับสนุนค่าใช้จ่ายกว่า 50% ในการวิจัยและพัฒนา ด้านซอฟต์แวร์ รวมถึงการให้การรับรองตราสัญลักษณ์ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการขอคำปรึกษากว่า 70% และจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โดยบริษัทที่จะได้รับสิทธิประโยชน์เหล่านี้จะต้องผลิตหรือสร้าง “ปัจจัยการผลิต” เช่น ผ้า แบตเตอรี่ หรือยางรถยนต์ ที่นำไปผลิตสินค้าอื่น ๆ ต่อได้
ฝาน ถี ถัน หลาน หุ้นส่วนสำนักงานกฎหมาย Indochine Counsel ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและการลงทุนต่างชาติในเวียดนาม กล่าวกับสำนักข่าว นิกเคอิ เอเชีย ว่า
“การสร้างแรงจูงใจให้กับการผลิตภายในประเทศ รวมทั้งเสริมศักยภาพวิสาหกิจภายในเวียดนาม ให้สามารถแข่งขันได้ในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกเป็นเรื่องที่จำเป็น และ กฤษฎีกาฉบับนี้ จะเข้ามาช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศได้”
“อย่างไรก็ตาม กฤษฎีกาฉบับนี้ยังคงส่งเสริมความร่วมมือกับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนักลงทุนจากจีนอยู่ ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากลยุทธ์ของเวียดนามไม่ใช่การตัดขาด เพียงแต่สร้างความหลากหลายและยกระดับห่วงโซ่คุณค่าทางอุตสาหกรรม"

นอกจากนี้ เอสโก เคท ผู้ช่วยด้านการต่างประเทศของสำนักงานกฎหมายวีร์ลาฟ (Vilaf) ยังกล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้ อาจช่วยลดการพึ่งพาผู้ค้าจากจีนลงได้บ้าง ถึงแม้ว่าการดำเนินการจะมีมาก่อนหน้า ที่จะมีการประกาศเรื่องภาษีสินค้าสวมสิทธิ์จากสหรัฐ
“อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือกฤษฎีการะบุว่าในการผลิตจะต้องมีสัดส่วนของวัตถุดิบที่มาจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อย่างน้อยหนึ่งราย บริษัทจึงจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกฎหมายดังกล่าว โดยสิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงจุดประสงค์หลักของคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม คือการสนับสนุนนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมภาคเอกชนและสนับสนุน SMEs”
ท้ายที่สุด พรรคคอมมิวนิสต์ได้ออกนโยบายดังกล่าวในเดือนพ.ค. เพื่อส่งสัญญาณถึงแผนการที่จะเปลี่ยนเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของเวียดนามไปสู่การสนับสนุนผู้ประกอบการในภาคเอกชนมากขึ้น
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 30 กันยายน 2568