เบื้องหลัง K visa จีนดึงหัวกะทิต่างชาติ สวนทาง H-1B สหรัฐฯ
KEY POINTS :
* จีนเปิดตัว K visa เพื่อดึงดูดบุคลากรทักษะสูงจากต่างชาติ โดยเฉพาะในสายงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM)
* นโยบายนี้เกิดขึ้นสวนทางกับสหรัฐฯ ที่กำลังเพิ่มความเข้มงวดกับวีซ่า H-1B ซึ่งเป็นวีซ่าหลักสำหรับแรงงานทักษะสูงที่ภาคเทคโนโลยีพึ่งพา
* แม้ K visa จะได้รับความสนใจ แต่จีนยังเผชิญความท้าทายในการดึงดูดบุคลากรต่างชาติ ทั้งอุปสรรคด้านภาษา การขอสัญชาติหรือถิ่นที่อยู่ถาวรที่ยากกว่า และสภาพแวดล้อมการทำงาน
จีนเปิดตัววีซ่าใหม่ K visa เพื่อดึงดูดบุคลากรต่างชาติในสาย STEM ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเข้มงวดคุณสมบัติของ H-1B มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพุธ (1 ต.ค.68) วีซ่านี้ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการเข้มงวดเกี่ยวกับกฎคุณสมบัติของ H-1B ซึ่ง 'ซิลิคอนแวลลีย์' (Silicon Valley) พึ่งพาอย่างมากในการรับแรงงานทักษะจากต่างประเทศ
เป้าหมายและการทำงานของ K visa :
รัฐบาลจีนได้วางกรอบวีซ่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามดึงดูดบุคลากรต่างชาติเพื่อเพิ่มขีดความด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ของจีนและประเทศอื่น ๆ วีซ่านี้เป็นหนึ่งในมาตรการปฏิรูปล่าสุดเพื่อทำให้จีนเป็นที่ดึงดูดชาวต่างชาติมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการปรับกระบวนการยื่นวีซ่าให้สะดวกขึ้น และการออกบัตรถิ่นที่อยู่ถาวรที่ออกแบบใหม่
เบื้องหลังนโยบาย ทำไมต้องตอนนี้ :
การนำ K visa มาใช้เชื่อมโยงโดยตรงกับลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ระดับชาติที่ระบุไว้ใน รายงานการประชุม ระดับชาติครั้งที่ 20 วิทยาศาสตร์เป็นพลังการผลิตหลัก พรสวรรค์เป็นทรัพยากรหลัก และนวัตกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
ในขณะที่การแข่งขันระดับโลกเพื่อความเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกำลังทวีความรุนแรงขึ้น จีนกำลังแสดงจุดยืนที่ชัดเจนสำหรับนักนวัตกรรมรุ่นต่อไป K visa เป็นเครื่องมือสำหรับ ลดอุปสรรคในการเข้าถึงสำหรับบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ส่งเสริมความร่วมมือที่ส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรมของจีน
K visa จะดึงดูดบุคลากรต่างชาติได้หรือไม่ :
เอ็ดเวิร์ด หู ผู้อำนวยการฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง บริษัทที่ปรึกษา Newland Chase ในเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า วีซ่านี้ได้รับความสนใจสูงมาก โดยมีคำถามสอบถามเพิ่มขึ้นกว่า 30% ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ผู้สนใจสมัครมีจำนวนมากจากอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของจีนในการขยายฐานบุคลากรด้วยวีซ่าดังกล่าว ยังเผชิญกับความท้าทาย แม้ว่าจีนจะพยายามเปิดรับชาวต่างชาติมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นสากลเท่าสหรัฐฯ เนื่องจากจีนแทบไม่เคยให้สัญชาติแก่ชาวต่างชาติ แม้การได้ถิ่นที่อยู่ถาวรในจีนจะเป็นไปได้มากกว่า แต่ก็ยังมีสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับชาวต่างชาติราวหนึ่งล้านคนที่ได้รับกรีนการ์ดในสหรัฐฯ ทุกปี
ขณะที่ สภาพแวดล้อมการทำงานในจีนยังสร้างอุปสรรคด้านภาษาสำหรับผู้สมัครที่ใช้ภาษาอังกฤษ เมื่อเปรียบเทียบกับซิลิคอนแวลลีย์ ไมเคิล เฟลเลอร์ หัวหน้านักกลยุทธ์ของ Geopolitical Strategy บริษัทที่ปรึกษาในซิดนีย์ กล่าวว่า บริษัทจีนจำเป็นต้องเสนอการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ และรูปแบบการทำงานสากลเพื่อแข่งขันกับบริษัทสหรัฐฯ
การที่แรงงานต่างชาติจะหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศจีนในจำนวนมากนั้น ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากจีนไม่ได้เสนอช่องทางสู่การเป็นพลเมืองแก่ผู้ที่ไม่ใช่ชาวจีนโดยชาติพันธุ์ อีกทั้งยังตั้งมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับผู้ที่ประสงค์จะได้รับสิทธิพำนักถาวรในประเทศ ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงนโยบายคนเข้าเมืองที่ผ่านมา ซึ่งเน้นไปที่การดึงดูดชาวจีนโพ้นทะเล หรือผู้ที่อพยพออกไปแล้ว ให้สามารถเดินทางกลับประเทศได้
ในปี 2020 จีนได้ขยายขอบเขตโครงการ “กรีนการ์ดจีน” (China Permanent Residence Permit) โดยผ่อนคลายเกณฑ์ให้ครอบคลุมผู้สมัครที่ทำงานในประเทศต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 8 ปี และมีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่าสามเท่าของเงินเดือนเฉลี่ยของประชากรในเขตเมืองของพื้นที่นั้น นโยบายดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงบนสื่อสังคมออนไลน์
ก่อนหน้านี้ จีนเคยมอบสิทธิพำนักถาวรเฉพาะแก่บุคคลที่มีการลงทุนโดยตรง ดำรงตำแหน่งผู้บริหารหรือนักวิจัยระดับสูง หรือผู้ที่สร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเท่านั้น
ระหว่างปี 2004 ถึง 2015 จีนออกใบอนุญาตพำนักถาวรให้แก่ชาวต่างชาติน้อยกว่า 10,000 ราย ขณะที่รายงานของ People’s Daily ในปี 2016 ระบุว่า ณ สิ้นปี 2015 ประเทศจีนมีชาวต่างชาติพำนักอยู่เกือบ 970,000 คน และจำนวนชาวต่างชาติในจีนลดลงอย่างมากในช่วงการระบาดของโควิด-19
ความเกี่ยวข้องของ K visa กับ H-1B :
แม้ความพยายามของจีนในการดึงดูดบุคลากรจะเกิดขึ้นท่ามกลางมาตรการเข้มงวดด้านการตรวจคนเข้าเมืองของทรัมป์ แต่ยังไม่พบความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการเปิดตัว K visa กับการจำกัดการเข้าถึง H-1B
จีนประกาศเปิดตัววีซ่านี้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 คณะรัฐมนตรีจีนได้ออกคำสั่งเลขที่ 814 แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการบริหารจัดการการเข้า-ออกของชาวต่างชาติ อย่างเป็นทางการ ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศเก็บค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์ (ราว 3.1 ล้านบาท) สำหรับผู้สมัครรายใหม่ ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะในอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งผู้รับวีซ่าราว 70% นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการที่สหรัฐฯ หันไปมุ่งภายในอาจเป็นประโยชน์ต่อประเทศอื่นที่ต้องการดึงดูดบุคลากร รวมถึงจีน
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 2 ตุลาคม 2568