บาทแข็งทุบซ้ำท่องเที่ยว 9 เดือนแรกปีนี้ เงินหายเฉียด 7 หมื่นล้าน
เงินบาทแข็งค่าซ้ำเติมท่องเที่ยวไทย 9 เดือนแรกปีนี้ต่างชาติเที่ยวไทยยังลดลง 7.52% แพงกว่าประเทศคู่แข่ง ททท.เผยตลาดที่ได้รับผลกระทบและได้เปรียบ ส.อ.ท.กังวลชี้ค่าเงินบาทเหมาะสมควรอยู่ที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ด้านซีไอเอ็มบีไทย เริ่มเห็นสัญญาณในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดเงินบาท จะอ่อนค่าเชิงบวกต่อเนื่องไตรมาส 4 แตะ 32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หนุนส่งออก-ท่องเที่ยว
ในปี 2568 การท่องเที่ยวของประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายหลายด้าน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศระหว่างวันที่ 1 มกราคม -28 กันยายน 2568 มีจำนวนรวม 23.96 ล้านคน ลดลง 7.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 25.91ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1.10 ล้านล้านบาท ลดลง 5.81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งสร้างรายได้ 1.17 ล้านล้านบาท ลดลงไป 6.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งล่าสุดการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 2-3 ในปีนี้ยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ที่เริ่มเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติในบางตลาดหลักของประเทศไทยแล้ว
เนื่องจากหากเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อสกุลเงินต่างประเทศ จะพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 19 ก.ย. 2568 เงินบาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 7 % โดยอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจาก 34.26 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนม.ค.68 มาอยู่ที่ 31.97 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนก.ย.68
ขณะที่ค่าเงินบาทต่อหยวนแข็งค่าขึ้น 4 % จากอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจาก 4.69 บาท ต่อหยวนในเดือนม.ค.68 มาอยู่ที่ 4.48 บาทต่อหยวน ส่วนค่าเงินบาทต่อเยนแข็งค่าขึ้น 1% โดยอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจาก 21.89 บาท ต่อเยนในเดือนม.ค.68 มาอยู่ที่ 21.67 บาทต่อเยน ในเดือนก.ย.68
อีกทั้งในปี 2568 จากข้อมูลธนาคารกลางสหรัฐ ณ วันที่ 12 ก.ย. 2568 จะพบว่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในหลายสกุลเงิน ไม่ใช่เฉพาะกับเงินบาทไทย โดยฟรังก์สวิส แข็งค่ามากที่สุดประมาณ 12 % ตามมาด้วย เงินบาท แข็งค่าขึ้น 7 % ยูโร และ เงินเยน แข็งค่าขึ้นประมาณ 5 %
ด้านค่าเงินบาทต่อปอนด์อ่อนค่าลง 2% โดยอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจาก 42.31 บาทต่อปอนด์ในเดือนม.ค.68 มาอยู่ที่ 43.25 บาทต่อปอนด์ในเดือนก.ย.68 ด้านค่าเงินบาทต่อยูโรอ่อนค่าลง 6 % โดยอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจาก 35.45 บาทต่อยูโรในเดือนม.ค.68 มาอยู่ที่ 37.48 บาทต่อปอนด์ในเดือนก.ย.68
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การแข็งค่าบาทกระทบต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะส่งผลให้ต้นทุนในการท่องเที่ยว โดยตลาดนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ จากเงินบาทแข็งค่า และนักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ที่กระทบมากที่สุด คือ นักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ถึง 7 % นับจากช่วงต้นปี 2568 และส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกาเข้าไทยนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568
การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยหลัก เกิดขึ้นนับจากการเริ่มภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นับแต่เดือนเม.ย. เป็นต้นมา และเริ่มซ้ำเติมหนักขึ้น ในเดือนก.ค.ที่ใกล้กับวันที่จะประกาศการใช้ภาษีอัตราตอบโต้ ซึ่งบางประเทศคู่ค้า มีภาษีเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 20-40 % ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากมีแนวโน้มที่ค่าครองชีพและราคาสินค้าจะเพิ่มสูงขึ้นจากภาษีที่เกิดขึ้น รวมทั้งเกิดความวิตกต่อตัวเลขดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะตามมา
โดยก่อนหน้านี้ “นักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา” เที่ยวไทยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกเดือน ม.ค.-เม.ย.68 เพิ่มขึ้นในเดือนม.ค. 22 % ช่วงก.พ.-เม.ย.เพิ่มขึ้น 7-12 % แต่นับจากพ.ค.เป็นต้นมาถึงส.ค.นักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกาเริ่มหดตัวเล็กน้อยประมาณ 2 % และในวันที่ 1-21 ก.ย. พบว่ามีนักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา ประมาณ 3.68 หมื่นคน ลดลง 6 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้เนื่องจากตลาดสหรัฐอเมริกา เป็นตลาด Super Long Haul ทำให้การเดินทางมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ค่าเงินดอลลาร์ ที่อ่อนค่าจึงเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากแลกเงินได้น้อยลง รวมทั้งมีความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าค่าสินค้าอุปโภค ค่าบริโภคที่นำเข้าไปขายในสหรัฐฯ จะเริ่มเห็นผลมีราคาแพงขึ้นเมื่อสต็อกสินค้าเก่าหมดไป และเริ่มการนำเข้าใหม่
สำหรับตลาดซึ่งได้รับผลกระทบเล็กน้อย เนื่องจากค่าเงินเป็นปัจจัยรองที่ส่งผลกระทบ แต่มีปัจจัยหลักอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการหดตัวของตลาดตั้งแต่ต้นปี ได้แก่ “นักท่องเที่ยวจีน” ซึ่งเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง แต่ปัญหาหลัก คือ ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยจากกรณีหวังซิง เหตุแผ่นดินไหว และการเดินทางไปยังประเทศคู่แข่งขัน
โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม เป็นเหตุผลหลักที่ส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทย และจะเห็นได้ว่าหลังจากเดือนพ.ค.จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมีหดตัวน้อยลง สวนทางกับค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้น โดยระหว่างวันที่ 1-28 ก.ย.68 นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย 3.38 ล้านคน ลดลง 33 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567 โดยเริ่มมีสัญญาณหดตัวน้อยลงกว่าช่วงเดือนพ.ค.-ส.ค.ที่หดตัว 35-40 %
ส่วนตลาด “นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น” ค่าเงินบาทต่อเยนเดือนก.ย.68 แข็งค่าขึ้น 1% เมื่อเทียบกับม.ค.68 ถือว่าแข็งค่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ โดยค่าเงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่องมาตั้งแต่ ปี 2566 จะเห็นได้ว่า ในเดือนม.ค.-มี.ค.68 นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นประมาณ 15-18 % แต่เริ่มหดตัวในเดือนเม.ย.
แม้ว่าค่าเงินเยนจะแข็งค่ามากที่สุดในรอบปีนี้ โดยการหดตัวเกิดจากภาพลักษณ์ความไม่ปลอดภัยมาตรฐานโครงสร้างตึกสูงจากการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทย และหดตัวอีกครั้ง ในเดือนมิ.ย.- ก.ค. จากเหตุปะทะทางการทหารบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่รุนแรงขึ้น เดือนพ.ค.และส.ค.นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้าไทยไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีของทรัมป์
นอกจากนี้ปัจจัยด้านคู่แข่งขันถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ดึงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้าไปท่องเที่ยวในปี 2568 โดยเฉพาะ เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน
ขณะที่ “ตลาดที่ได้เปรียบในเรื่องของค่าเงิน” คือ “นักท่องเที่ยวยุโรป” เนื่องจากค่าเงินปอนด์และค่าเงินยูโรเป็นสองสกุลเงิน ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินบาท นักท่องเที่ยวจึงได้เปรียบเพราะแลกเงินบาทได้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวยุโรปในภาพรวมเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดย “นักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักร” ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 2 % โดยวันที่ 1-21 ก.ย.68 มีนักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักรเที่ยวไทย 3.38 หมื่นคน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซัน
เช่นเดียวกับกลุ่มตลาดหลักในยุโรป ซึ่งเงินยูโรอ่อนค่า 6 % ดังนั้นค่าเงินยูโรไม่มีผลกระทบนักท่องเที่ยวยุโรปยังเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบทุกเดือนตั้งแต่ต้นปีถึง 21 ก.ย. อาทิ นักท่องเที่ยวเยอรมนี 3.13 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 5% และฝรั่งเศส 2.06 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 3%
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ความกังวลตอนนี้เป็นเรื่องเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนของทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออกไทย ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ มีความสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่จะมีต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยมากสุด แต่ตอนนี้ไทยเสียเปรียบด้านการท่องเที่ยวกับประเทศคู่แข่งหลักอย่างญี่ปุ่น เพราะค่าเงินเยนอ่อน แต่เงินบาทแข็ง รวมถึงญี่ปุ่นมีภาพลักษณ์ที่มีความสะอาดและปลอดภัย
รัฐบาลญี่ปุ่นจัดกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปมากขึ้น
ทำให้เห็นนักท่องเที่ยวจีนไปญี่ปุ่นสูงมากขึ้น เพราะเงินเยนอ่อน การใช้จ่ายมีความคุ้มค่า ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและต้นทุนในจ่ายเหมือนกัน ขณะที่เวียดนามก็มีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไปเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ สวนทางกับไทยที่มีผลกระทบจากเรื่องความเชื่อมั่นความปลอดภัย และภาพข่าวเชิงลบต่างๆ ทำให้นักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวลง
“ค่าเงินบาทต้องอยู่อย่างเหมาะสมระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ค่าเงินบาทที่วิ่งระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินบาทแข็งตอนนี้จึงเป็นปัญหาของทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ถูกกระทบจากหลายประเด็น อาทิ การหลอกลวง ข่าวเท็จและข่าวจริงที่ส่งผลต่อความไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัย กระทบตลาดหลักอย่างจีน แม้ได้ตลาดอื่น อาทิ อินเดีย รัสเซีย ยุโรป จะเข้ามาทดแทนเพิ่มขึ้น แต่จำนวนสู้นักท่องเที่ยวจีนไม่ได้ จึงทำให้ภาพรวมของการท่องเที่ยวไทยยังติดลบอยู่” นายเกรียงไกร กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับการเคลื่อนไหวของเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (ณ วันที่ 29 ก.ย.68) โดยทยอยลดช่วงการแข็งค่าลงจากเดิมที่เคยแข็งค่ากว่า 7% เหลือ 5.6%
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทในไตรมาส 4 มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยซีไอเอ็มบีไทยยังคงคาดการณ์เงินบาทอาจอ่อนค่าไปแตะระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปลายปี “เงินบาทอ่อนในไตรมาส 4 นับเป็นการอ่อนค่าในเชิงบวก ช่วยหนุนการส่งออก การท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่กำลังซื้อในประเทศยังเปราะบาง
อย่างไรก็ดี นักลงทุนและผู้ประกอบการควรเตรียมรับมือกับความผันผวนจากฝั่งนโยบายการเงินของสหรัฐในปีหน้า ที่อาจทำให้ค่าเงินผันผวนกว่าที่คาดไว้”
ปัจจัยหลักยังมาจากทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐ แม้ตลาดได้คาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟดอีก 2 ครั้งในปีนี้ (รวม 0.50%) แต่ปีหน้าอาจเห็นการลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดเคยคาดไว้ถึง 3 ครั้ง ความผิดหวังของตลาดจะเป็นแรงหนุนดอลลาร์แข็งค่า และทำให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้เงินบาทอ่อน
ปัจจัยในประเทศนั้น ในมุมของนโยบายการเงิน คาดว่า แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ น่าจะเป็นเดือนธันวาคม เพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจ และกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค แม้การลดดอกเบี้ยจะช่วยบรรเทาภาระดอกเบี้ยและพยุงเศรษฐกิจ แต่ก็ทำให้ดอกเบี้ยไทยอยู่ในระดับต่ำมาก อาจมีความเสี่ยงว่าหากเกิดวิกฤติรอบใหม่ เครื่องมือนโยบายการเงินจะเหลือพื้นที่ใช้น้อย
นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือนล่าสุด สะท้อนการชะลอตัวของทั้งการบริโภคและการลงทุน กำลังซื้อของภาคครัวเรือนยังเปราะบาง ภาคเอกชนชะลอการลงทุน ดัชนีภาคการผลิตซบเซา ขณะที่เศรษฐกิจยังพึ่งพาการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นหลัก มาตรการกระตุ้น เช่น คนละครึ่ง และการลดหย่อนภาษี น่าจะช่วยพยุงการฟื้นตัวได้บ้าง แต่แรงส่งอาจจำกัด
ทั้งนี้ผลเชิงบวกของเงินบาทอ่อน
นอกจากสนับสนุนการส่งออกให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นยังหนุนการท่องเที่ยวจากต่างชาติ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในไทยถูกลง อีกทั้งเพิ่มรายได้เกษตรกรในรูปเงินบาท โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาสินค้าเกษตรผันผวนและไม่สร้างแรงกดดันเงินเฟ้อในช่วงที่ราคาน้ำมันและต้นทุนการนำเข้าลด
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องระวัง หากเฟดลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด เงินดอลลาร์อาจแข็งยาว ทำให้เงินบาทอ่อนมากกว่าที่ประเมินไว้ ขณะเดียวกัน หากการใช้จ่ายภาครัฐเบิกจ่ายล่าช้า เศรษฐกิจในประเทศอาจชะลอตัวแรงกว่าคาด และ เงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นไทยอาจเร่งขึ้นหากส่วนต่างดอกเบี้ยกว้างเกิน
สำหรับ 3 ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1. สัญญาการลดดอกเบี้ยมาก/น้อยในการประชุมเฟด (2 ครั้งสุดท้ายปีนี้) 2. ความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นภาครัฐและการเบิกจ่ายงบ 3. ราคาน้ำมันโลก (หากดีดขึ้นแรงอาจกดดันเงินบาทให้ผันผวน)
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 2 ตุลาคม 2568