นักวิชาการ ชี้พิษชัตดาวน์ กระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯส่งถึงส่งออกไทย เพียง 1 เดือนมูลค่าหายกว่าหมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม นายอัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวถึงกรณีชัตดาวน์สหรัฐว่า การชัตดาวน์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เนื่องจากสภาตองเกรส (Congress) ไม่สามารถตกลงงบประมาณ ทำให้กระทบการใช้งบประมาณปี 2569 สหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 7 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ สาเหตุหลักมาจากการเมืองระหว่างพรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมเครต ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ต้องการต่ออายุโครงการอุดหนุนประกันสุขภาพ (ACA / Obamacare tax credits) และค่าใช้จ่ายประกันในการรักษาพยาบาลของคนสหรัฐฯ ที่มีรายได้น้อยที่ครอบคลุมคนสหรัฐฯ 40 ล้านคนที่ต้องใช้บริการโครงการดังกล่าว นอกจากนี้รวมทั้งการระงับโครงการพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่เป็นนโยบายของพรรคเดโมเครต
จะเห็นว่า Shut Down ในครั้งนี้มาจากการตัดงบประมาณโครงการต่างๆ ของคู่แข่งทางการเมือง โครงการข้างต้นคิดเป็น 35% ของงบประมาณรายจ่ายปี 2569 อย่าง เงินช่วยเบี้ยประกันสุขภาพ 125 พันล้านเหรียญต่อปี กระทบ 22 ล้านคน ประกันสุขภาพสำหรับ ผู้สูงอายุ/พิการ 944 พันล้านเหรียญต่อปี กระทบ 65 ล้านคน ประกันสุขภาพสำหรับ ผู้มีรายได้น้อย 606 พันล้านเหรียญต่อปี กระทบ 76 ล้านคน โครงการพลังงานสะอาด 8 พันล้านเหรียญต่อปี กระทบคนทั่วไป โครงสร้างพื้นฐาน 18 พันล้านเหรียญต่อปี กระทบผู้โดยสารหลายแสนคน/วัน รวม 2.49 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ กระทบ 163 ล้านคนในเบื้องต้น
นายอัทธ์ กล่าวว่า สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้น การชัตดาวน์ครั้งนี้จะใช้เวลากี่วัน เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ แต่หากดูครั้งล่าสุดสมัยทรัมป์ 1 ที่มีชัตดาวน์ 35 วัน (วันที่ 21 ธันวาคม 2561 ถึง 25 มกราคม 2562 ซึ่งมากสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ) ครั้งนี้ อาจจะเป็น 1-2 เดือน เพราะจำนวนเงินมาก ในขณะชัตดาวน์ปี 2561 เป็นประเด็นการสร้างกำแพงใช้งบประมาณ 6 พันล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม การชัตดาวน์ครั้งนี้ ขึ้นกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ทั้งการบริโภค ค่าเงินดอลล่าร์ และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ดัชนีหุ้นในสหรัฐฯ ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น) ว่าจะมีมากน้อยแต่ไหนโดย
(1)ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ช่วง 35 วันของทรัมป์ 1 ค่าเงินดอลลาร์อ่อน 1-2% ถ้าเป็นแบบนี้ ปี 2568 จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งไปอยู่ 31.5-31.8 บาท/ดอลลาร์
(2)การจับจ่ายใช้สอยประชาชนชะลอตัว ข้าราชการสหรัฐฯ เสี่ยงตกงาน โดยข้าราชการในสหรัฐฯ มี 2.2 ล้านคน จำนวนเสี่ยงตกงานอยู่ที่ 750,000 คน และเสี่ยงตกงานถาวร 300,000 ทำให้การบริโภคชะลอตัวลง เพราะค่าใช้จ่ายในการบริโภคสหรัฐฯ คิดเป็น 70% ของจีดีพี
(3)ดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ลังเลจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เพราะต้องการกระตุ้นการจ้างงานและการบริโภค 4.บริษัทเอกชนที่ทำสัญญากับหน่วยงานรัฐฯ กระทบหนัก ในแต่ละปีบริษัทเอกชนที่ทำสัญญางานกับรัฐบาลประมาณ 160,000-200,000 ราย มูลค่า 6-7 แสนล้านดอลลาร์ เป็นเอสเอ็มอีจำนวน 25-30% บริษัทเหล่านี้เสี่ยงล้มละลาย หรือหยุดการดำเนินงานระยะหนึ่ง ซึ่งส่งผลต่อการจ้างงานและการลงทุน ซึ่งครั้งนั้น สร้างมูลค่าเสียหายชั่วราว 18 พันล้านเหรียญดอลลาร์ และสูญเสียถาวร 3 พันล้านดอลลาร์
นายอัทธ์ กล่าวว่า สำหรับผลกระทบต่อส่งออกไทย ประมาณ 0.009-0.5% ภายใน 1 เดือน โดยวิเคราะห์จากฐานปี 2567 ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ 63,000 ล้านเหรียญ ภายใต้ Shut Down กระทบต่อการส่งออกลดลง จากปัจจัยคือ ค่าเงินบาทแข็งค่า 1-2% การบริโภคสหรัฐฯ ลดลง 2-5% และการดำเนินการนำเข้าช้าลงไป 20-30% จากการขาดเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในการตรวจเอกสารนำเข้า ทำให้ต่อวันมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ลดลงไป 193- 420 ล้านบาท หรือส่งออกลดลงสัปดาห์ละ 1,350 -2,670 ล้านบาท และต่อเดือนลดลง 5,400 -10,680 ล้านบาท หรือ สัดส่วนต่อการส่งออกไปสหรัฐลดลง 0.009-0.53%
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 2 ตุลาคม 2568