จีนประกาศ "K visa" อ้าแขนรับหัวกะทิต่างชาติ ในช่วงที่สหรัฐตั้งกำแพงสูง
นายกัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ประกาศเปิดตัว K visa ดึงดูดชาวต่างชาติผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาทำงานในประเทศ ขณะที่รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งประกาศเรียกเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B มูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.1 ล้านบาท) สำหรับผู้สมัครใหม่
นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า วันนี้ (1 ต.ค.) จีนเริ่มโครงการวีซ่าใหม่ เพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ ซึ่งมีความถนัดด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาทำงานในประเทศ ขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กลับตั้งกำแพงที่สูงขึ้นในการจ้างงานต่างชาติกลุ่มนี้
นายกัว เจียคุน (Guo Jiakun) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวกับผู้สื่อข่าวในกรุงปักกิ่งสองวันก่อนการเปิดตัว (วันที่ 29 ก.ย.) ว่า วีซ่าประเภทใหม่ “K visa” ซึ่งถูกเพิ่มเข้าไปในวีซ่าทำงานทั่วไปของจีน มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างเยาวชนชาวจีนกับบุคลากรชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การเคลื่อนไหวที่หาได้ยากของจีนในการอ้าแขนรับแรงงานต่างชาติอย่างเต็มใจนี้ เกิดขึ้นขณะที่จีนต้องการที่จะเติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี ในเวลาเดียวกัน ลูกจ้างในสายงานเทคโนโลยีที่ทำงานในสหรัฐ ก็กำลังรู้สึกผิดหวังจากท่าทีที่แข็งกร้าวของรัฐบาลทรัมป์ กรณีการประกาศเรียกเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B มูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.1 ล้านบาท) สำหรับผู้สมัครรายใหม่
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและบริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐ เคยเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายใหญ่จากโครงการวีซ่า H-1B โดยมีผู้ได้รับวีซ่ากว่า 70% มาจากประเทศอินเดีย และรองลงมาคือจีน
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา ในบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ Global Times หนึ่งในกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐว่า วีซ่าใหม่นี้ (K visa) แสดงให้เห็นถึงการเปิดกว้างและความมั่นใจของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่บางประเทศมีแนวโน้มจะปิดกั้นและปฏิเสธความร่วมมือจากภายนอก
แม้ขณะนี้รายละเอียดของ K visa ยังคงไม่ชัดเจน แต่รัฐบาลจีนกล่าวว่าจะมีข้อกำหนดเฉพาะในด้านอายุ ภูมิหลังทางการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน แต่ในทางตรงกันข้าม มีการระบุว่า K visa ไม่จำเป็นต้องมีนายจ้างหรือหน่วยงานในประเทศออกจดหมายเชิญ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากวีซ่าทำงานหลายประเภททั่วโลก
ในสัปดาห์นี้ K visa กลายเป็นประเด็นฮอตบน Weibo โซเชียลมีเดียหลักของจีน โดยหลายคนแสดงความกังวลต่อแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้อพยพ หลังจากที่สื่อสัญชาติอินเดียเรียก K visa ว่าเป็น “ทางเลือก” สำหรับผู้เชี่ยวชาญ ความคิดเห็นบางส่วนหันเหไปในเชิงเหยียดเชื้อชาติอย่างชัดเจน ในขณะที่บางส่วนตั้งคำถามว่า มาตรฐานในการขอใบอนุญาตนี้สูงพอหรือไม่
ภาวะว่างงานของชาวจีน รวมถึงในหมู่หนุ่มสาว อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจ เนื่องจากในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา อัตราการว่างงานของชาวจีนช่วงอายุตั้งแต่ 16-24 ปี เข้าใกล้ 19% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่สิ้นปี 2023
ความเป็นไปได้ของ K visa :
การที่แรงงานต่างชาติจะหลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศจีนเป็นจำนวนมาก ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากจีนไม่มีการเสนอช่องทางสู่การเป็นพลเมืองให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่ชาวจีนโดยชาติพันธุ์ อีกทั้งได้กำหนดมาตรฐานที่สูงมาก สำหรับผู้ที่ต้องการได้รับสิทธิพำนักถาวรในประเทศ ดังเช่น การปรับปรุงนโยบายคนเข้าเมืองก่อนหน้านี้ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การดึงดูดชาวจีนโพ้นทะเล หรือผู้ที่อพยพออกไปแล้ว ให้สามารถเดินทางกลับประเทศได้
อีกทั้งในปี 2020 ที่ผ่านมา จีนได้ขยายขอบเขตโครงการ “กรีนการ์ดจีน” (China Permanent Residence Permit) โดยผ่อนคลายมาตรฐานให้ครอบคลุมผู้สมัครที่มีคุณสมบัติทำงานในประเทศต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ปี และมีเงินเดือนประจำปีรวมไม่ต่ำกว่าสามเท่าของเงินเดือนเฉลี่ยของประชากรในเขตเมืองของพื้นที่นั้น ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงบนโซเชียลมีเดีย
ก่อนหน้านี้ จีนเคยให้สิทธิการพำนักถาวรเฉพาะแก่บุคคลที่มีการลงทุนโดยตรง ดำรงตำแหน่งผู้บริหารหรือนักวิจัยระดับสูง หรือสร้างผลงานที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศเท่านั้น
ในช่วงปี 2004-2015 จีนออกใบอนุญาตพำนักถาวรให้กับชาวต่างชาติน้อยกว่า 10,000 ใบ ในขณะที่รายงานของ People’s Daily ในปี 2016 ระบุว่า ในสิ้นปี 2015 ประเทศจีนมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เกือบ 970,000 คน อีกทั้งจำนวนชาวต่างชาติในจีนลดลงอย่างมาก ในช่วงการระบาดของโควิด-19
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 1 ตุลาคม 2568