สหรัฐฯ ชัตดาวน์แล้ว ทรัมป์ขู่ไล่พนักงานรัฐนับแสน สะเทือนศก.การบิน-ตลาดแรงงาน
KEY POINTS :
* วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติไม่ผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว ทำให้รัฐบาลกลางต้องหยุดทำการ หรือ "ชัตดาวน์"
* โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะปลดพนักงานของรัฐเพิ่ม สร้างความกังวลในตลาดแรงงานที่กำลังเผชิญการลาออกครั้งใหญ่
* การชัตดาวน์จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจ ทั้งภาคการบินที่อาจเกิดความล่าช้า การรายงานตัวเลขการจ้างงาน และบริการสาธารณะที่สำคัญ
การโหวตในวุฒิสภาสหรัฐฯ เพื่อขยายเวลาการใช้งบประมาณชั่วคราวไม่ผ่าน ส่งผลให้รัฐบาลกลางต้อง "ชัตดาวน์" ณ 11:01 น. (เวลาไทย) วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งจะทำให้หน่วยงานต่างๆ ต้องหยุดทำงาน ยกเว้นกิจกรรมที่ถือว่าจำเป็น เช่น กองทัพ เจ้าหน้าที่ชายแดน และงานด้านกฎหมาย ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่ว่าจะปลดพนักงานรัฐบาลกลางเพิ่ม หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น
การโหวตในวุฒิสภาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จบลงด้วยคะแนน 55 ต่อ 45 ซึ่งไม่ถึง 60 เสียงที่จำเป็น ทำให้การขยายงบประมาณถูกปฏิเสธทันที และนั่นหมายความว่ารัฐบาลกลางจะต้องหยุดทำงานชั่วคราวตั้งแต่วันพุธเป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหลายๆ ด้าน ตั้งแต่การเดินทางทางอากาศ การเผยแพร่ตัวเลขการจ้างงานรายเดือน ไปจนถึงบริการสาธารณะที่สำคัญหลายชนิด
ที่มาของความขัดแย้งระหว่างสองพรรคการเมืองนี้ มาจากข้อเรียกร้องด้านงบประมาณจากฝ่ายเดโมแครต ที่ต้องการขยายเงินอุดหนุนด้านสาธารณสุขอย่างถาวร เพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 24 ล้านคนจากค่าใช้จ่ายที่อาจสูงขึ้น โดยเฉพาะในรัฐที่มีผู้นำจากพรรครีพับลิกันอย่างฟลอริดาและเทกซัส ขณะที่ฝ่ายรีพับลิกันยืนยันว่าควรแยกงบประมาณออกจากนโยบายสุขภาพ ไม่ควรนำมาเป็นเงื่อนไขในการเจรจา
สถานการณ์ยิ่งร้อนแรงขึ้นโดย โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาขู่ก่อนการโหวตว่า หากเกิดการชัตดาวน์ ตนพร้อมจะปลดพนักงานรัฐอีกจำนวนมาก พร้อมระบุว่า "พวกเขาจะเป็นเดโมแครต" คำพูดนี้สร้างความวิตกกังวลให้กับข้าราชการในสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญการลาออกอย่างมาก โดยในสัปดาห์นี้มีข้าราชการกว่า 150,000 คนเตรียมลาออกจากโครงการเกษียณ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียบุคลากรครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 80 ปี
ผลกระทบจากการชัตดาวน์ครั้งนี้อาจมีขอบเขตกว้างขวาง ตั้งแต่สายการบินที่เตือนว่าเที่ยวบินอาจล่าช้า กระทรวงแรงงานที่จะไม่สามารถรายงานตัวเลขการว่างงานรายเดือน ไปจนถึงสำนักงานธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ และหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่อาจต้องหยุดการทำงานในโครงการฟื้นฟูมลพิษ
ย้อนกลับไปในปี 2018-2019 สหรัฐฯ เคยประสบกับการชัตดาวน์ที่ยาวนานถึง 35 วันภายใต้รัฐบาลทรัมป์ และครั้งนั้นสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 0.02% ของจีดีพีประเทศ ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าหากวิกฤตในครั้งนี้ยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากหนี้สาธารณะที่สูงถึง 37.5 ล้านล้านดอลลาร์อยู่แล้ว
ในสมรภูมิการเมือง ฝ่ายรีพับลิกันนำโดย จอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ยืนยันว่าจะพยายามนำร่างงบประมาณที่ผ่านจากสภาผู้แทนฯ กลับมาโหวตอีกครั้ง ขณะที่ชัค ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครต ยืนยันว่าพรรคของเขาจะต่อสู้เพื่อคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพของประชาชนอเมริกันให้เต็มที่
แต่แทนที่ความขัดแย้งจะคลี่คลาย ทรัมป์กลับทวีตโพสต์วิดีโอดีปเฟกที่โจมตีผู้นำเดโมแครต โดยใช้ภาพล้อเลียนเชื้อชาติ ซึ่งยิ่งเพิ่มความแตกแยกในสังคม และทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าการหาทางออกในระยะสั้นเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 1 ตุลาคม 2568