เวียดนามยังคง "เกินดุลสหรัฐ" สูงแตะ 3 ล้านล้านบาท โต 28%
เวียดนามยังคงก้าวรุดในสนามการค้า แม้โดนภาษีทรัมป์ โดยมียอดการค้า "เกินดุลสหรัฐ" สูงถึง 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 28% จากปีก่อนหน้า
เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า เวียดนาม ยังคงมียอดการค้า “เกินดุลสหรัฐ” เป็นมูลค่า 99,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3.2 ล้านล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่ง “เพิ่มขึ้น 28%” เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามข้อมูลจาก ศุลกากรเวียดนาม ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์
แม้ว่ายอดส่งออกเวียดนามไปสหรัฐในเดือนสิงหาคม ลดลง 2% จากเดือนก่อนหน้า และลดลงอีก 2% ในเดือนกันยายน แต่ดุลการค้ารายเดือนยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับในเดือนก่อน ๆ แม้ว่าประเทศเจอภาษีทรัมป์ในอัตรา 20% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมก็ตาม
ทั้งนี้ เวียดนามตกอยู่ในความสนใจและการจับตาของรัฐบาลทรัมป์ หลังจากสหรัฐรายงานว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีดุลการค้าขาดดุลกับสหรัฐ “มากเป็นอันดับ 3” รองจากจีนและเม็กซิโก
นอกจากนี้ การส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐในเดือนสิงหาคม และกันยายน ยังคงได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดองอ่อนค่า และระดับภาษีตอบโต้ที่ยังแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งด้านการผลิตอย่างอินเดีย ไทย และมาเลเซีย ซึ่งมีอัตราภาษีอยู่ระหว่าง 19% ถึง 50%
ไม่เพียงเท่านั้น การที่ผู้ผลิตระดับโลกเร่งกระจายฐานการผลิตออกจากจีน ก็ช่วยหนุนให้การส่งออกของเวียดนามเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับมูลค่าส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 112,800 ล้านดอลลาร์ โดยสินค้าหลักคือ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 30,300 ล้านดอลลาร์ และเครื่องจักรและอุปกรณ์ มูลค่า 17,400 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลที่เผยแพร่
อย่างไรก็ตาม มาตรการเก็บภาษีสหรัฐ ได้ส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่ออุตสาหกรรมสินค้าบริโภค โดยเฉพาะเสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ และรองเท้า
เห็นได้จากการส่งออกสิ่งทอเวียดนามไปยังสหรัฐในเดือนกันยายน “ลดลง 20.1%” เหลือเพียง 1.4 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
ส่วนการส่งออกโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริม ลดลง 24.4% เหลือ 805 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกรองเท้าแบรนด์ Nike และ Adidas ในเดือนเดียวกัน ลดลงถึง 27% เหลือเพียง 612 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ เวียดนามมียอดเกินดุลการค้ารวม 16,800 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2025 ซึ่งช่วยหนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ถึง 7.85% ถือเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดเป็นอันดับสองในช่วงเวลาเดียวกัน นับตั้งแต่ปี 2011
ประเทศรายงานว่า จีดีพีไตรมาส 3 เติบโต 8.2% ซึ่งเป็นการขยายตัวของไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่ปี 2011 เช่นกัน มีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาค การผลิต การก่อสร้าง และบริการ
สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามระบุว่า ประเทศจำเป็นต้องมีอัตราการขยายตัวถึง 10.2% ในไตรมาส 4 เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโต 8.5% ตลอดทั้งปี ขณะที่ในปี 2024 การเติบโตของไตรมาส 4 อยู่ที่ 7.6%
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 8 ตุลาคม 2568