ศึกการค้า สหรัฐ-จีน ล่าสุด บทพิสูจน์ "ใครใหญ่-ใครอยู่ (รอด)"
ระหว่างที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" กำลังวุ่นวายอยู่กับการดำเนินความพยายามเพื่อให้ได้ครอบครองรางวัลโนเบล สันติภาพ อยู่อย่างเต็มที่ ทางการจีนก็ออกประกาศมาตรการเข้มงวดทางการค้ารอบใหม่ ที่เปิดโอกาสให้ รัฐบาลจีนสามารถควบคุมการส่งออกสินแร่หายาก (แรร์เอิร์ท) ไปยังต่างประเทศได้โดยสิ้นเชิง ออกมา
มาตรการดังกล่าวนี้ส่งผลให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งอยู่ในสภาวะ “สงบศึก” ชั่วคราว พลิกผันไปโดยพลัน ความตึงเครียดระลอกใหม่กระพือโหมขึ้นสู่ระดับสูงสุดอีกครั้ง
ทรัมป์ที่กำลังเกรี้ยวกราด ประกาศมาตรการตอบโต้ทันที ด้วยการปรับขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากจีนอีก 100% พร้อมกันนั้นก็ให้เข้มงวดกับการห้ามการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ และบอกด้วยว่า มาตรการทางการค้าใหม่ของจีนทำให้ตนมองไม่เห็น “เหตุผลใด ๆ” ที่จะเดินทางไปพบหน้าเพื่อหารือกับ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในตอนปลายเดือนนี้อีกต่อไปแล้ว
ผู้สันทัดกรณีในแวดวงการค้าระบุว่า การประกาศมาตรการดังกล่าวของทางการจีน ก่อให้เกิดการลุกลามขยายตัวของภาวะตึงเครียดทางการค้า ครั้งที่แหลมคมที่สุด นับตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มเปิดศึกตอบโต้ซึ่งกันและกันด้วยมาตรการทางภาษีมาก่อนหน้านี้ ความขัดแย้งครั้งนี้สูงถึงขนาดอาจทำให้ความพยายามเป็นแรมเดือนที่จะตะล่อมให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองให้กลับเข้าที่เข้าทางถึงกับพังทลายลงกลายเป็นการสูญเปล่าโดยสิ้นเชิงได้ในทันทีทันใด
ที่สำคัญก็คือ นี่นับเป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุดว่า นโยบายการใช้มาตรการทางการค้ามาเป็นยุทธศาสตร์ของทรัมป์นั้น สามารถนำมาใช้รับมือกับยุทธศาสตร์สงครามเศรษฐกิจระยะยาว ที่ทางการจีนงัดออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งจะได้เห็นกันในอีกไม่ช้าไม่นาน เพราะมาตรการส่วนใหญ่ของจีนนั้นกำหนดไว้ว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ธันวาคมที่จะถึงนี้เป็นต้นไป
ในขณะที่มาตรการตอบโต้ที่ทรัมป์ประกาศ จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนนี้
เอเวอเรตต์ ไอเซนสแตท อดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจระหว่างประเทศและรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจแห่งชาติ ในยุคทรัมป์ 1.0 เปิดเผยว่า ทำเนียบประธานาธิบดีของทรัมป์ มองความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจีนว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่ทำให้ความตึงเครียดลุกลามออกไปอย่างมีนัยสำคัญ เขาบอกว่า จีนกำลังอวดพลังอำนาจที่ตัวเองมี และพยายามแสดงให้โลกเห็นว่า ใครกันที่เป็นผู้ควบคุมการค้าโลกที่แท้จริง
สิ่งที่จีนประกาศออกมาล่าสุดนั้น ถูกมองว่าเป็นมาตรการควบคุมการส่งออกสินแร่หายากที่ครอบคลุมกว้างขวางมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ช่วยให้จีนไม่เพียงสามารถคุมการส่งออกวัตถุดิบและแม่เหล็ก (ที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปจากสินแร่หายาก) เหมือนที่เคยทำได้ในอดีตที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมการส่งออก “อุปกรณ์ใด ๆ” ที่มีสิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบอยู่ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนได้อีกด้วย
และเพราะสินแร่หายากของจีน มีอยู่แทบจะในสินค้าสำคัญทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่ ไอโฟน และมอเตอร์สำหรับรถยนต์อีวี เรื่อยไปจนถึงอุปกรณ์เซ็นเซอร์สำหรับเครื่องบินรบ เท่ากับหมายความว่า ทางการจีนสามารถระงับการส่งออกสินค้าใด ๆ ให้กับสหรัฐอเมริกา เป็นจำนวนมากมายมหาศาลอย่างยิ่ง
นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมมาตรการของจีนครั้งนี้ ถึงทำให้ตลาดหุ้นอเมริกันร่วงลงแบบควงสว่าน โดยที่ดัชนี เอสแอนด์พี 500 ถึงกับรูดลงมากถึง 2% ในวันเดียว แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนต้นปีนี้
ผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ให้เห็นว่า มาตรการล่าสุดที่จีนประกาศออกมา ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงพลังอำนาจที่แท้จริงที่จีนมีอยู่เท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างยุทธวิธีที่ทั้งสองประเทศนำมาใช้ในสงครามการค้าครั้งนี้ ระหว่างของจีน ที่เป็นยุทธวิธีระยะยาว ผ่านการปรับแต่งมาเป็นอย่างดี กับยุทธวิธีแบบ “ด้นสด” ซึ่งทรัมป์นำมาใช้ในแทบทุกครั้ง
เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวหลายคนยอมรับว่า วิธีการดำเนินนโยบายต่างประเทศและการค้าของรัฐบาลอเมริกันยุคนี้ ล้วนเป็นวิธีการแบบ “ท็อป-ดาวน์” มากกว่าทุกครั้งในอดีต แต่นี่ไม่ใช่ข้อเสียเสียทีเดียว ตรงกันข้าม กลับทำให้ทุกมาตรการที่ประกาศออกมา มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นสิ่งที่ออกมาจากตัวประธานาธิบดีโดยตรง ที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ดำเนินการเรื่องนี้ ไม่ใช่คนอื่น และจะส่งผล “ที่ดีกว่า” ในบั้นปลาย
ความตึงเครียดระลอกใหม่นี้ มีขึ้นในยามที่ ทรัมป์ กับ สี จิ้นผิง มีกำหนดจะพบหารือกันต่อหน้า ในตอนปลายเดือนตุลาคมนี้ ในเวทีการประชุมสุดยอดเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่เกาหลีใต้ อันเป็นการพบหารือที่วางเอาไว้ว่า จะช่วยให้เกิดการหารือกันฉันมิตร กระชับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น นิ่งขึ้น ก่อนหน้าที่จะถึงเส้นตาย 10 พฤศจิกายน ที่มาตรการทางภาษีรอบใหม่ของสหรัฐอเมริกาต่อจีนจะมีผลบังคับใช้
ผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ว่า มีความเป็นไปได้ว่า มาตรการใหม่ที่จีนประกาศออกมานั้น เป็นส่วนหนึ่งของการ “ยกระดับ” อำนาจต่อรองของฝ่ายตนให้สูงขึ้น พร้อมกันนั้นก็ใช้เป็นเครื่องทดสอบ ทรัมป์ ไปด้วยในตัวว่า ขีดจำกัดความอดทนของฝ่ายอเมริกันนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่
ที่ผ่านมาการตอบโต้ทางการค้าจากจีนนั้น มุ่งเน้นไปในจุดที่จะก่อให้เกิดผลเสียในทางการเมืองในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นพิเศษ อย่างเช่นการบอยคอตการนำเข้าถั่วเหลือง และสินค้าเกษตรอื่น ๆ จากรัฐต่าง ๆ ที่เป็นฐานเสียงของทรัมป์
โดยรายละเอียดแล้ว มาตรการใหม่ของจีนถือเป็นมาตรการควบคุมที่เข้มงวดกว่า ครอบคลุมกว้างขวางกว่าเดิมมาก เพราะนอกจากสามารถห้ามการส่งออกแล้ว ทางการจีนยังต้องให้ความเห็นชอบในการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปสินแร่หายากทั้งหมดอีกด้วย ตั้งแต่เทคโนโลยีการทำเหมือง, การถลุง และการคัดแยก โดยห้ามชาวจีนให้ความช่วยเหลือ “ในเชิงสารัตถะหรือสนับสนุน” การดำเนินการเหล่านี้ในต่างแดนโดยสิ้นเชิงอีกด้วย
นักวิชาการบางคน รวมทั้ง “เจฟฟรีย์ เกิร์ตซ์” อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของไบเดน อุปมาการประกาศมาตรการครั้งนี้ของจีนว่า เหมือนกับการ “เอาปืนจ่อหัวฝ่ายอเมริกันบนโต๊ะเจรจา” ยังไงยังงั้น
ถามว่า สหรัฐอเมริกาพัฒนาอุตสาหกรรมสินแร่หายากในบ้านตัวเองไม่ได้หรือ คำตอบก็คือ ได้น่ะได้ แต่กระบวนการนี้ต้องใช้เวลาอีกนานหลายปีกว่าจะเห็นผล ไม่ใช่ใน 2-3 ปีนี้แน่นอน
ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า การจำกัดการส่งออกสินแร่หายาก เป็นเพียงแค่ “น้ำจิ้ม” ตัวอย่างจากทางการจีนเท่านั้น ยังมีอีกหลายภาคอุตสาหกรรมที่จีนสามารถทำแบบเดียวกันนี้ได้ และสามารถทำลายเศรษฐกิจอเมริกันได้อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็น ฟาร์มาซูติคอล, ไบโอเทค หรือสารเคมี ที่อาจ “ชัตดาวน์” เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาทั้งระบบได้เลย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 15 ตุลาคม 2568