อียูเล็งบังคับบริษัทจีน "ต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้" หากอยากขายของในยุโรป
ยุโรปต้องการพลิกเกม กำหนดกติกาใหม่ เตรียมบังคับให้บริษัทจีนต้อง "ถ่ายทอดเทคโนโลยี" และต้อง "ใช้วัตถุดิบจากอียู" ตามสัดส่วนที่กำหนด หากต้องการเข้ามาทำธุรกิจในยุโรป เพื่อตอบโต้และปกป้องอุตสาหกรรมยุโรปที่ถูกรุกหนักจากจีน
ท่ามกลางการไหลบ่าของสินค้าจีน ประกอบกับเทคโนโลยีจีนหลายอย่าง “เริ่มแซงหน้า” ยุโรป หากปล่อยเช่นนี้ต่อไป อุตสาหกรรมหลักของยุโรปอาจถูกจีนครอบงำแทน ล่าสุดสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาที่จะออกมาตรการ “บังคับให้บริษัทจีนต้องถ่ายทอดเทคโนโลยี” (Technology Transfer) ให้กับบริษัทในยุโรป หากต้องการดำเนินธุรกิจภายในภูมิภาคนี้
มาตรการนี้จะใช้กับบริษัทจีนที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ดิจิทัล รถยนต์ และแบตเตอรี่
ภายใต้กฎดังกล่าว บริษัทที่เข้ามาลงทุนในยุโรป จะต้องใช้วัตถุดิบหรือแรงงานจากในสหภาพยุโรปใน “สัดส่วนที่กำหนดไว้” และต้องเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ภายในเขตยุโรปด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น EU ยังพิจารณาบังคับให้ตั้ง “บริษัทร่วมทุน” ระหว่างบริษัทจีนกับบริษัทในยุโรป เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยตรง
มารอช เซฟโควิค กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรปกล่าวว่า “เรายินดีต้อนรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ตราบใดที่เป็นการลงทุนจริง หมายถึงการลงทุนที่สร้างงานในยุโรป เพิ่มมูลค่าในยุโรป และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ยุโรป” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า “เหมือนอย่างที่บริษัทในยุโรปเคยทำเมื่อเข้าไปลงทุนในจีน”
นี่คือ “การตอบโต้เชิงนโยบายจากยุโรป” เพราะก่อนหน้านี้ จีนมักเป็นฝ่ายบังคับบริษัทตะวันตกให้ถ่ายทอดเทคโนโลยี แต่ตอนนี้ ยุโรปกำลังใช้แนวทางเดียวกันกับบริษัทจีน
ที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างอียูกับจีนเพิ่มสูงขึ้นอยู่แล้ว โดยเมื่อไม่นานมานี้ สหภาพยุโรปได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก “เป็นสองเท่า” ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อสินค้าเหล็กราคาถูกจากจีน
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการประกาศ “มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากชุดใหม่” ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของยุโรป ส่งผลให้ผู้นำอียูออกมาเรียกร้องให้ลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจีนลงเพิ่มเติม
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปได้ให้คำมั่นว่าจะ “ปกป้องผู้ผลิตภายในภูมิภาค” จากการแข่งขันของจีน และกฎระเบียบชุดใหม่ที่กำลังจะประกาศใช้ จะช่วยเร่งกระบวนการดังกล่าว โดยจะถูกรวมอยู่ในร่างกฎหมายที่ชื่อว่า “Industrial Accelerator Act”
อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวในสุนทรพจน์ประจำปีต่อรัฐสภายุโรปว่า “อนาคตของเทคโนโลยีสะอาดจะยังคงถูกสร้างขึ้นในยุโรป แต่เพื่อให้เป็นเช่นนั้น เราจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่า อุตสาหกรรมของเราจะมีวัตถุดิบอยู่ในยุโรปเอง”
ด้านวิกเตอร์ วาน ฮอร์น ผู้อำนวยการกลุ่มอุตสาหกรรม Cleantech for Europe ชี้ว่า “สิ่งสำคัญคือการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และเทคโนโลยีสะอาด ต้องมาพร้อมกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะแรงงานยุโรป ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการตกลงในระดับอียู”
ลาร์ส เลิกเก รัสมุสเซน รัฐมนตรีต่างประเทศเดนมาร์ก สนับสนุนแนวคิดนี้ โดยกล่าวว่า “หากเรายอมรับการลงทุนจากจีนเข้าสู่ยุโรป ต้องมีเงื่อนไขล่วงหน้าว่า เราจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีบางส่วนด้วย”
ทั้งนี้ หนึ่งในหัวใจสำคัญของข้อเสนอใหม่คือ การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของยุโรป ที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น โดยจะมุ่งเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป “ยังคงพึ่งพาจีนอย่างมาก” ในการจัดหาชิ้นส่วนแบตเตอรี่ ส่งผลให้พวกเขา “ล้าหลังคู่แข่งจากจีน” อย่างบริษัทรถ BYD
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้ข้อเสนอใหม่ในแผนปกป้องและฟื้นฟูอุตสาหกรรมยุโรป มีเงื่อนไขหลักที่จะส่งผลต่อบริษัทรถยนต์ต่างชาติ (โดยเฉพาะจากจีน) ได้แก่ ต้องใช้วัตถุดิบ / ชิ้นส่วน / บริการที่ผลิตในยุโรปตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ อีกทั้งโรงงานต่างชาติที่ตั้งในยุโรปต้องจ้างแรงงานจากประเทศใน EU ด้วย
ในทางกลับกัน EU จะอำนวยความสะดวกในการเปิดตลาดให้กับบริษัทที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้ อย่างการลดขั้นตอนอนุญาตการผลิตและลงทุน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 16 ตุลาคม 2568