เอกชนชี้เศรษฐกิจไตรมาส 4 น่าห่วง จีดีพีโตแค่ 0.3% เปรียบเป็นรถติดหล่ม
KEY POINTS :
* ภาคเอกชนแสดงความกังวลต่อเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 68 โดยคาดการณ์ว่าจีดีพีจะขยายตัวเพียง 0.3% เปรียบเสมือน "รถติดหล่ม" ซึ่งจะทำให้ทั้งปีโตได้แค่ 2%
* ปัจจัยลบสำคัญมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ถูกแก้ไข เช่น สังคมสูงวัย การคอร์รัปชัน กฎหมายล้าหลัง และความเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือน เงินบาทแข็ง และการเมือง
* เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และการช่วยเหลือหนี้เสีย (NPL) ของ SMEs ซึ่งอาจช่วยผลักดันให้จีดีพีทั้งปีเติบโตได้ในกรอบ 1.8-2.2%
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/68 ว่า ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเปรียบเสมือนรถติดหล่ม เพราะยังคงมีปัจจัยลบจากเรื่องของปัญหาโครงสร้างยังไม่ถูกแก้ไข ประกอบด้วย
* มีวันทำงานน้อยเพราะไทยเป็นสังคมผู้สูงวัย
* การคอรัปชั่นของระบบราชการรวมถึงกฎหมายที่ล้าหลัง
* กับดักรายได้ปานกลาง
* งบประมาณที่ไม่สมดุลในการเบิกจ่าย
* ระบบการศึกษา
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่มาจากความเสี่ยงอื่น คือ ภาษีทรัมป์ สินค้าทุ่มตลาด สงครามระหว่างประเทศ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หนี้ครัวเรือน เงินบาทแข็ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีผลต่อการเกษตร และการเมืองภายในประเทศ
ทั้งนี้ จึงคาดว่าไตรมาส 4 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี (GDP) ไทยอาจโตแค่ 0.3% โดยส่งผลให้ทั้งปี 68 GDP โตได้เพียง 2% เท่านั้น
อย่างไรก็ดี หากไตรมาส 4 รัฐบาลสามารถนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนละครึ่ง กระตุ้นการลงทุน แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และมีมาตรการช่วยหนี้เสีย (NPL) เอสเอ็มอี (SMEs) ได้อาจทำให้ช่วยดัน GDP ได้อีก 0.4% หรือ GDP โตไปได้ในกรอบ 1.8-2.2%
ขณะเดียวกัน GDP ปี 69 ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ (IMF) ประเมินว่า GDP ไทยจะโตเพียง 1.6% เท่านั้น เพราะยังคงมีความไม่แน่นอนสูงเช่นเดียวกับปี 68 ปัจจัยลบมาตากการส่งออกชะลอตัว การผลิตชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร ผลผลิต เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 21 ตุลาคม 2568