"คนละครึ่งพลัส" ปลุกกำลังซื้อทั่วไทย แต่เงินไหลออกจีน สภาอุตฯจี้รณรงค์ใช้สินค้าไทย
KEY POINTS :
* โครงการ “คนละครึ่งพลัส” มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจในช่วงปลายปี แต่พบว่าประโยชน์ไม่ตกถึงผู้ประกอบการไทยทั้งหมด
* นักวิชาการชี้ว่าเงินจากโครงการอาจรั่วไหลไปจีนราว 15-20% โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร (Non-Food) เช่น เสื้อผ้าและเครื่องใช้ในบ้านที่นำเข้าจากจีนเพราะราคาถูกกว่า
* สภาอุตสาหกรรมฯ เสนอให้รัฐบาลรณรงค์ส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand) ควบคู่กันไป เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากที่สุด
"คนละครึ่งพลัส" 20 ล้านสิทธิ์ โครงการเรือธงของรัฐบาล "อนุทิน" มีเป้าหมายปลุกกำลังซื้อ และกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ใช้งบกว่า 44,000 ล้านบาท คาดหวังจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 88,000 ล้านบาท ซึ่งโดยภาพรวมคนไทยจะได้รับประโยชน์ทั้งประชาชนคนทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า วิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิตสินค้า ภาคบริการ การขนส่งสาธารณะ และอื่น ๆ ทั้งนี้กระทรวงการคลังคาดการดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส ร่วมกับการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปีนี้ได้ประมาณ 0.2-0.4%
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หากมองในแง่สินค้าและบริการที่จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสในครั้งนี้ ในกลุ่มสินค้าอาหาร คาดสินค้าไทยจะได้รับอานิสงส์เกือบ 100% ขณะที่กลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร (Non-Food) เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ในครัวเรือนไทยจะได้รับประโยชน์เพียง 50% เพราะอีกครึ่งหนึ่งจะมาจากการนำเข้าสินค้าจากจีนเข้ามาจำหน่าย เนื่องจากมีราคาถูกกว่า เช่น เสื้อผ้า 80% มาจากจีน อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน 50-60% ก็มาจากจีน เป็นต้น โดยรวมแล้วเงินส่วนหนึ่งของคนละครึ่งพลัสก็จะไปช่วยจีนด้วย
“ในแง่ภาคการผลิตสินค้าไทยจะได้รับประโยชน์ 70% แต่ถ้าเป็นภาคบริการ เช่น นวด สปา ทำเล็บ ทำผม ขนส่งสาธารณะ (รถโดยสาร/แท็กซี่/ขนส่งต่าง ๆ) ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ อันนี้ได้ 100% เมื่อเฉลี่ยโดยรวมภาคการผลิตและบริการของไทยจะได้รับประโยชน์สัดส่วนประมาณ 80-85% ส่วนที่เหลืออีก 15-20% ต่างชาติจะได้ประโยชน์ โดยจะตกอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร หรือ Non-Food”
อย่างไรก็ดี หากเทียบโครงการคนละครึ่งในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ใส่เงินไปมากกว่า 230,000 ล้านบาทใน 5 เฟส (2563-2565) ข้อมูลจากสภาพัฒน์และธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.3% หรือคิดเป็นมูลค่าจีดีพีที่เพิ่มขึ้น 60,000 ล้านบาท ส่วนโครงการคนละครึ่งพลัสในครั้งนี้ที่รัฐบาลจะอัดฉีดงบประมาณกว่า 44,000 ล้านบาท คาดจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.1% คิดเป็นมูลค่าจีดีพีที่เพิ่มขึ้นประมาณ 22,000 ล้านบาท
โดยโครงการนี้ประชาชนคนไทย หรือภาคธุรกิจของไทยอาจได้ประโยชน์ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จากเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ คือ
1)จากสินค้าราคาถูกจากจีนในกลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร ถูกนำเข้ามาจำหน่ายผ่านโครงการฯ ซึ่งนอกจากตัวสินค้าแล้วยังรวมถึงวัสดุและบรรจุภัณฑ์ของสินค้าที่เป็นส่วนประกอบของสินค้าถูกนำเข้ามาด้วย ผู้ประกอบการของไทยไม่ได้รับประโยชน์
2)การไม่เติมเงิน โดยคนไทยบางส่วนอาจมีหนี้ และไม่มีรายได้เพียงพอที่จะเติมเงินในแอปเป๋าตัง เพื่อใช้สิทธิ์ของโครงการ และ
3)พฤติกรรมเสพติด โดยโครงการนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราวในระยะสั้น และเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของรัฐบาลที่เห็นผลเร็วในช่วง 4 เดือน เป็นผลงานที่จับต้องได้ หลังรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาบริหารประเทศได้ 1 เดือน แต่ผลเสียคือพฤติกรรมของคนไทยจะปรับตัวแบบ “รอ” ให้รัฐบาลใส่เงินเข้ามาช่วยเติมเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่เรื่อยๆ (หากรวมรัฐบาลประยุทธ์ โครงการคนละครึ่งครั้งนี้เป็นเฟสที่ 6)
“โครงการคนละครึ่งพลัสของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ถือเป็นรูปธรรมของผลงานและเป็นสิ่งที่ประชาชนจับต้องได้มากที่สุดในช่วง 1 เดือนของรัฐบาล ส่วนนโยบายด้านพลังงาน ด้านสินค้าเกษตรยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมมากนัก เช่น จะผลักดันราคายางพาราให้ไปอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท ก็ยังไม่เห็นแอ็กชั่นแพลนว่าจะทำอย่างไร ขณะที่ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้เวลานี้ก็ตกต่ำในรอบหลายปี คาดจะเกิดปัญหา และมีเสียงสะท้อนจากเกษตรกรในระยะต่อไป”
ด้าน นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าโครงการคนละครึ่งพลัส ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศโดยตรง จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเพิ่มกำลังซื้อและกระจายเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจช่วงปลายปี โดยเฉพาะร้านค้าชุมชนและผู้ค้ารายย่อยที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการจับจ่ายที่เพิ่มขึ้น มองว่าโครงการนี้จะช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากในช่วงที่ต้นทุนสูง
การกลับมาของโครงการนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคการค้าและบริการเห็นช่องทางสร้างรายได้มากขึ้น โดยเสนอให้ภาครัฐส่งเสริมให้ใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand : MIT) ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในประเทศมากที่สุด ลดการรั่วไหลออกนอกระบบ
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 22 ตุลาคม 2568