ธปท.เตือนเศรษฐกิจปี 69 โตต่ำ 1.6% จับตาส่งออกชะลอ บาทแข็งกดท่องเที่ยว
ธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยปี 69 โตต่ำเพียง 1.6% จากส่งออกชะลอ–บาทแข็ง แม้รัฐออก "คนละครึ่งพลัส–เที่ยวดีมีคืน" พยุงปลายปี คาดนักท่องเที่ยวปีหน้าทะลุ 35 ล้านคน เงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกกลางปี 69
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงาน Monetary Policy Forum ซึ่งครอบคลุมภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย นโยบายการเงิน อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด
ธปท.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้เพียง 2.2% และมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในปี 2569 เหลือ 1.6% หลังได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่เริ่มชะลอตัวจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ แม้ช่วงครึ่งปีแรก (H1/68) เศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึง 3% จากการเร่งผลิตและส่งออกล่วงหน้า แต่คาดว่าครึ่งปีหลังจะชะลอ โดยเฉพาะไตรมาส 3 โตเพียง 1.5% และไตรมาส 4 เหลือ 1.3%
น.ส.ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. ระบุว่า ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น “คนละครึ่ง พลัส” และ “เที่ยวดีมีคืน” ซึ่งจะช่วยเพิ่มจีดีพีในช่วงไตรมาส 4 ได้ราว 0.2–0.3% และช่วยสร้างบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะในภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ
ธปท. ประเมินว่า ปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 33 ล้านคน สร้างรายได้ 1.4 ล้านล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวจีนราว 4.4 ล้านคน และคาดว่าในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 35 ล้านคน รายได้รวมแตะ 1.5 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 6 ล้านคน
ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาส 4/68 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน แต่ยังมีความกังวลต่อ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งอาจกระทบต่อการใช้จ่ายและการแข่งขันของภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทย
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้อยู่ที่ 0.0% ปี 2569 ที่ 0.5% และปี 2570 ที่ 1% โดยคาดว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกในช่วง ไตรมาส 2/69 และเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1–3% ในปี 2570
ยืนยันว่าไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะอัตราเงินเฟ้อต่ำมาจากราคาสินค้าบางหมวด เช่น พลังงานและอาหารสด
ขณะที่สินค้าหมวดอื่นไม่ลดลงในวงกว้าง อีกทั้งราคานำเข้าจากจีนที่ถูกลงและการแข่งขันในตลาดภายในประเทศยังคงกดดันราคาสินค้าให้ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
นายสุรัช ระบุว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยต้องใช้การ “ผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบาย” ทั้งด้านการเงิน อัตราแลกเปลี่ยน และสถาบันการเงิน โดยนโยบายการเงินควรอยู่ในระดับ ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันต้องดูแลเสถียรภาพการเงินและค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐาน
ด้านสินเชื่อยังหดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ที่ชะลอการกู้ยืม และธนาคารพาณิชย์ที่ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ ธปท. จึงเตรียมใช้มาตรการเฉพาะจุด เช่น การแก้หนี้รายกลุ่ม การเติมสภาพคล่อง และการตั้ง AMC รองรับหนี้เสีย
“การลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่พอ ต้องยกระดับศักยภาพ SMEs ควบคู่กันไป เพราะปัญหาหลักอยู่ที่กำลังซื้อและการแข่งขัน ไม่ใช่แค่ภาระดอกเบี้ย”
นายสุรัชย้ำว่า การส่งผ่านนโยบายการเงินต้องใช้เวลา 3–4 ไตรมาส จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในจังหวะต่อไป
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 22 ตุลาคม 2568