เปิดไทม์ไลน์ "ทัวร์เอเชีย" ทรัมป์ มีอะไรที่น่าจับตาบ้าง ?
KEY POINTS
* ทรัมป์จะเดินทางเยือนมาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและเอเปค
* ประเด็นสำคัญในการประชุมอาเซียนคือการเจรจาการค้า ปัญหาสแกมเมอร์ และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไทย-กัมพูชา
* การเยือนญี่ปุ่นจะเน้นกระชับความสัมพันธ์และหารือข้อตกลงการค้าเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐฯ
* ไฮไลต์สำคัญคือการประชุมเอเปคที่เกาหลีใต้ ซึ่งทรัมป์จะหารือเรื่องการค้ากับผู้นำเกาหลีใต้และจีน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเมื่อวันจันทร์ที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมาว่าจุดหมายในการเดินทางเยือนเอเชียในครั้งนี้ จะประกอบไปด้วยมาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
กำหนดการเริ่มจากการเข้าร่วม "การประชุมสุดยอดอาเซียน" ในวันอาทิตย์ที่ 26 ต.ค นี้ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยจะเป็นการกลับเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2560 สมัยแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จากนั้นจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 27-29 ต.ค. และเกาหลีใต้ในวันที่ 29-30 ต.ค. เพื่อร่วมการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC)
การเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ของทรัมป์ สำคัญกับเศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียที่กำลังเผชิญมรสุมจากนโยบายภาษีอย่างมาก โดยประเด็นที่ได้รับความสนใจในการประชุมในช่วงสามวันนี้ อาจเกี่ยวข้องกับ ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐกับหลายประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจน ปัญหาความมั่นคงในภูมิภาค ปัญหาสแกมเมอร์ และการเจรจาสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งสหรัฐได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ
ร่วมถกประเด็นการค้า ส่งออกอาเซียนเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า ทำสหรัฐขาดดุลหนัก :
บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวนิกเคอิเอเชีย ระบุว่า หนึ่งในประเด็นที่น่าจับตามองในการประชุมกับผู้นำอาเซียนในวันอาทิตย์ที่26 ต.ค. ได้แก่ประเด็นการเจรจาด้านการค้า เนื่องจากการส่งออกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เติบโตขึ้นมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ข้อมูลทางสถิติของอาเซียนชี้ว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าของอาเซียนไปยังสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 1.42 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งครั้งแรก เป็น 3.12 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567 ทำให้สหรัฐเป็นจุดหมายปลายทางของการส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค แซงหน้าจีนที่ 2.91 แสนล้านดอลลาร์
นอกเหนือจากสินค้าส่งออกแบบดั้งเดิม เช่น เสื้อผ้าและอาหาร อาเซียนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตของสหรัฐ ยกตัวอย่างเช่น มาเลเซีย ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งโรงงานขนาดใหญ่หลายแห่งของผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกัน อย่าง Micron Technology ซึ่งได้ส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังสหรัฐ เป็นมูลค่าราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา คิดเป็น 20% ของการนำเข้าชิปทั้งหมดของสหรัฐ
ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่าปริมาณการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศในอาเซียนที่เพิ่มขึ้น ได้ทำให้ตัวเลขการขาดดุลของสหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จาก 5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2560 เป็น 1.69 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567
โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญ ได้กลายเป็นประเทศที่สหรัฐขาดดุลทางการค้ามากที่สุด จากตัวเลขพบว่า สหรัฐขาดดุลเพิ่มขึ้นจาก 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 1.04 แสนล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยประเทศไทย ซึ่งขาดดุลเพิ่มขึ้นจาก 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยในภูมิภาคอาเซียนมีเพียงสิงคโปร์และลาวเท่านั้น ที่สหรัฐเกินดุลการค้า
การตอบโต้ของสหรัฐที่ตามมา อย่างการออกมาตรการภาษีที่มีผลบังคับใช้ในเดือน ส.ค. ได้ส่งผลกระทบทำให้การส่งออกสิ่งทอของเวียดนามไปยังสหรัฐ ลดลงกว่า 20% ในเดือน ก.ย. และการส่งออกโทรศัพท์และอุปกรณ์เสริมก็ลดลงกว่า 24% รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ที่ต้องเผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรของทรัมป์ที่ 10% ถึง 40% ก็กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกัน
ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วม แสดงความกังวลต่อแนวโน้มของการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ระบุว่ามาตรการเหล่านี้ “ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการค้าพหุภาคี และเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานโลก”
ดังนั้น สิ่งที่น่าจับตาคือในการประชุมดังกล่าว คือการเจรจาต่อรองถึงเป้าหมายและข้อตกลงทางการค้า ระหว่างอาเซียนกับสหรัฐในอนาคต ว่าจะสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่
ในระหว่างการประชุมสุดยอด คาดว่าอาเซียนจะเดินหน้าสู่การสรุปข้อตกลง “กรอบเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA)”
ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เสนอเพื่อประสานกฎเกณฑ์การทำธุรกรรมดิจิทัลภายในภูมิภาค และสร้างมาตรฐานการไหลเวียนข้อมูลข้ามพรมแดน โดยจะสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค ที่จะส่งผลดีต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ AI ของสหรัฐโดยตรง
หากมีการฉายภาพให้เห็นถึงการสร้างความร่วมมือที่เหนียวแน่น ก็อาจช่วยทำให้เศรษฐกิจของทั้งอาเซียนและสหรัฐเติบโตต่อไปได้
เจรจาสันติภาพ ไทย-กัมพูชา และปัญหาสแกมเมอร์ :
อาเซียนยังคงเผชิญกับความท้าทายและภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์ที่หลากหลาย ทั้งจากภายในและภายนอกภูมิภาค
State of Southeast Asia 2025 ของสถาบันวิจัย ISEAS-Yusof Ishak ในสิงคโปร์ ได้ทำการออกแบบสำรวจ
สำหรับผู้นำองค์กร ปัญญาชน และผู้นำภาคประชาสังคมประมาณ 2,000 คนในภูมิภาค พบว่า "ปฏิบัติการหลอกลวงระดับโลก" อยู่ในอันดับสองของเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่น่ากังวลที่สุด ที่ 48.1% รองจาก "ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้" ที่ 51.6% โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ ที่ถูกหลอกให้ทำงานในสแกมเซนเตอร์ หรือศูนย์หลอกลวงทางอินเตอร์เน็ตในกัมพูชา
ด้วยเหตุนี้การหลอกลวงทางไซเบอร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในหลายประเทศ เช่น กัมพูชาและเมียนมาร์ ก็อาจจะกลายมาเป็นประเด็นสำคัญในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในครั้งนี้ได้เช่นกัน
นอกจากเหตุผลนี้ นักวิเคราะห์การเมืองของสำนักข่าวนิกเคอิเอเชีย กล่าวว่า แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ทรัมป์เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนในปีนี้คือ การเจรจาสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ที่กำลังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาชายแดน
นายโมฮัมหมัด ฮะซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวของนิกเคอิเอเชีย เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีความกระตือรือร้น ที่จะได้เห็นข้อตกลงสันติภาพระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก
ด้าน จา เอียน ชอง รองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ก็เห็นไปในทางเดียวกันว่า “สิ่งที่ปธน.ทรัมป์ต้องการจริง ๆ อาจเป็นเพียงการเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการทำข้อตกลงสันติภาพกัมพูชา-ไทย เพื่อที่จะเขาจะได้อ้างได้ว่า ตัวเขาเองเป็นผู้ที่ยุติสงคราม”
กระชับความสัมพันธ์สหรัฐ-ญี่ปุ่น จับตาข้อตกลงการค้ากับสี จิ้นผิง ที่งานประชุม APEC เกาหลีใต้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลของ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ของญี่ปุ่น ได้เริ่มสรุปแพ็คเกจการจัดซื้อสินค้า เช่น ถั่วเหลือง และก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐ เพื่อนำเสนอต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเจรจาการค้าในสัปดาห์หน้า หลังจากที่ชิเงรุ อิชิบะ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ตกลงในข้อตกลงทางการค้าที่จะลงทุนในสหรัฐกว่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับการลดภาษีรถยนต์
“การเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ คือรากฐานสำคัญของนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของญี่ปุ่น” ทาคาอิจิ กล่าวเมื่อวันอังคารที่ 21 ต.ค. ในการแถลงข่าวครั้งแรก ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ทรัมป์จะออกเดินทางไปญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 27-29 ต.ค. จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้ในวันที่ 29-30 ต.ค
บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวพีบีเอสของสหรัฐ ระบุว่า ไฮไลต์ของการเดินทางในครั้งนี้ของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจเป็นเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC)
ในการพบกันกับผู้นำเกาหลีใต้ในครั้งนี้ คาดว่าจะมีการเจรจาถึงข้อสรุปของข้อตกลงทางการค้า เกี่ยวกับมาตรการทางด้านภาษี ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของทรัมป์ ที่ต้องการให้เกาหลีใต้ลงทุนในสหรัฐเป็นมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์เช่นเดียวกับญี่ปุ่น แลกกับการลดภาษีศุลกากรลงมาอยู่ที่ 15% และยังมีเรื่องการเจรจาภาษีรถยนต์ซึ่งหากไม่สำเร็จอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในเกาหลีใต้ได้
มากไปกว่านั้น ทรัมป์ยังกล่าวว่าเขาจะหารือกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนในระหว่างที่อยู่ที่นั่น ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงทางการค้าครั้งใหม่ที่ทั่วโลกจับตามอง โดยความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดจากการที่จีนประกาศการจำกัดปริมาณการส่งออกแร่ธาตุหายาก ในขณะที่ทรัมป์เองก็ขู่ว่าจะเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่สูงเพื่อเป็นการตอบโต้
โดชิ อดีตที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่า จีนมีความกล้าหาญที่จะต่อรองมากขึ้น หลังจากที่ทรัมป์ยอมลดหย่อนภาษีให้ก่อนหน้านี้ จากกรณีที่รัฐบาลจีนจำกัดการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐ "ชาวจีนรู้สึกว่าพวกเขามีแต้มต่อเท่ากับประธานาธิบดีทรัมป์ พวกเขาคิดว่าหากพวกเขายังกดดันต่อไป ทรัมป์จะยอมจำนน"
ท้ายที่สุด การเดินทางเยือนเอเชียของประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้ อาจเป็นตัวกำหนดทิศทางทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค อาจมีหลายฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ในการเจรจาทางการค้าที่จะเกิดขึ้น ทั้งกับอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงผลลัพธ์ของการมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาสแกมเมอร์ และข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยหวังว่าจะมีข้อสรุปที่ทุกฝ่ายพึงพอใจ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาซ้ำเติมจากที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 23 ตุลาคม 2568