"TDRI" แนะจับตาผลกระทบ 7 ประเด็น จากข้อตกลงการค้าไทย – สหรัฐฯ
KEY POINTS :
* ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้กรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนไทย–สหรัฐฯ มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง
* ระบุ 'ถ้อยแถลงร่วม' ว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยและสหรัฐฯ ช่วยเปิดทางให้บางกลุ่มสินค้าอาจได้รับการยกเว้นภาษี Reciprocal Tax เหลือ 0%
* แต่เตือนให้จับตาประเด็นที่ไทยอาจต้องยกเว้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ถึง 99%
* แนะตั้งรับมาตรฐานด้านแรงงาน สิ่งแวดล้อม และบริการดิจิทัล ซึ่งอาจกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐเผยแพร่ ถ้อยแถลงร่วม ว่าด้วยกรอบความตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย (Joint statement on a framework for a United States-Thailand agreement on reciprocal trade) โดยมองว่ามีทั้งส่วนที่ดี และส่วนที่ยังต้องเฝ้าระวัง
ในแง่มุมที่ดีคือตั้งแต่มีการจัดเก็บ ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tax) ที่ 19% ยังมีประเด็นที่ไม่แน่ชัด คือ ข้อตกลงอะไรที่ไทยตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้มาซึ่ง อัตราภาษี ดังกล่าว ซึ่งข้อมูลข้อตกลงอันนี้ ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าในภาพรวมแม้ว่าจะมีการจัดเก็บ ภาษี Reciprocal Tax 19% แต่กรอบความร่วมมือนี้จะทำให้มีการพิจารณากลุ่มสินค้าที่จะได้รับการยกเว้นภาษี Reciprocal Tax ซึ่งอาจจะเหลือเพียง 0% ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังยังมีอีกหลายประเด็น ได้แก่
1)กลุ่มสินค้าที่ไทยต้องยกเว้นภาษี (Tariffs) ให้กับสหรัฐ มีถึง 99% ของกลุ่มสินค้าทั้งหมด แต่ไม่ชัดว่าเป็นสินค้าอะไรบ้าง แต่หากพิจารณาว่ามีหมื่นสินค้าก็แปลว่าไทยยกเว้นภาษีให้ถึง 9,900 สินค้าหรือใน 1 หมื่นกลุ่มสินค้าจะมีเพียงร้อยสินค้าเท่านั้นที่ยังคงจัดเก็บภาษีจากสหรัฐอยู่
2)ไทยตกลงยอมรับมาตรฐานของสหรัฐในหลายเรื่อง เช่น ยานยนต์ (ความปลอดภัยและการปล่อยมลพิษ) ยา เนื้อสัตว์ ต้องติดตามว่าจะส่งผลกระทบต่อไทยในด้านไหนบ้าง
3)การเปิดรับมาตรฐานแรงงาน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องตามดูว่าจะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจไหม โดยมีการพูดถึงเรื่องการรวมกลุ่มแรงงานเพื่อต่อรอง
4)การคุ้มครองสิทธิทางปัญญา ที่จะกระทบกับผู้ใช้ที่ละเมิดสิทธิ
5)การค้าดิจิทัล ต้องไม่เก็บภาษีบริการดิจิทัล
6)ภาคบริการ ต้องเปิดเสรีโทรคมนาคมในส่วนของสัดส่วนที่ต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของได้
7)คาดว่าไทยจะนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือ สินค้ากลุ่มพลังงาน และเครื่องบินมากขึ้นเพื่อลดการขาดดุลการค้า
“หลายเรื่องนั้นเราต้องปรับกฎหมายในประเทศไทยด้วยนะครับ ดังนั้นต้องใช้เวลาพอสมควร จึงต้องอาศัยการทำความเข้าใจกับคู่เจรจาคือสหรัฐ ประชาชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในประเทศด้วย”ดร.นณริฏ กล่าว
เมื่อถามว่าในมุมรัฐบาลไทยควร ทำอะไรเพิ่มเติมมั้ยครับอย่างเช่นการเจรจาขอต่อรองผ่อนคลายบางเรื่องเช่นสินค้าเกษตร หรือในเรื่องภาษีภาคบริการ ดร.นณริฏ กล่าวว่าการเจรจาต่อรองนั้นถ้าให้ดี เราต้องได้ประโยชน์ร่วม คือควรจะต้องให้สหรัฐ เปิดตลาดบางอย่างให้สินค้าไทยสามารถเข้าไปขายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางสหรัฐ และไทยกำลังคุยกันอยู่แล้ว
นอกจากนั้นควรจะมีการกำหนดรายการ (ลิสต์) ของสินค้าที่จะลดภาษี Reciprocal ลงจาก 19% นอกจากนี้ต้องดูว่าข้อตกลงในส่วนไหนที่ไทยยังไม่พร้อม อาจจะขอเวลาซักระยะในการปรับตัว แต่ก็ต้องมีธรรมาภิบาล คือภาครัฐต้องเข้าไปช่วยให้เกิดการปรับตัวอย่างแท้จริง และต้องเปิดตลาดเมื่อถึงระยะเวลาที่สัญญาไว้แล้ว เช่นเดียวกัน ผมยังคิดว่าการจัดเก็บภาษีบริการดิจิทัลเป็นอีกหนึ่งตัวที่ต้องศึกษาถึงผลดีและผลเสียให้ดีว่าจะทำให้ไทยเสียโอกาสในภาษีที่ควรจะได้หรือไม่? มากน้อยเพียงใด
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 27 ตุลาคม 2568

