สหรัฐลดภาษีเหลือ 47% ห่วงจีนชะลอลงทุนไทย-ส่งออกปี 2569 เสี่ยงลดลง จากมีสินค้าสวมสิทธิ์
KEY POINTS :
* สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนโดยเฉลี่ยเหลือ 47% เพื่อแลกกับการที่จีนผ่อนคลายการควบคุมการส่งออกแร่หายากและเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร
* ข้อตกลงดังกล่าวสร้างความกังวลว่าจีนอาจชะลอการลงทุนในไทย เนื่องจากแรงจูงใจในการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ ลดลง
* การส่งออกของไทยในปี 2569 มีความเสี่ยงที่จะลดลงจากปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าจีนส่งออกผ่านไทย ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ ตรวจสอบและใช้มาตรการด้านถิ่นกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้น
เอกชนจับตา สหรัฐลดภาษีสินค้าจีนลงเหลือ 47% อาจกระทบจีนลงทุนไทย หลัง 9 เดือนแรกปีนี้ขอรับการส่งเสริมอยู่อันดับ 3 มูลค่าลงทุนกว่า 1.42 แสนล้าน ห่วงส่งออกไทยปี 69 หดตัวจากสินค้าสวมสิทธิ์ และถูกสหรัฐคุมเข้มถิ่นกำเนิดสินค้า
ในการเจรจาระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (ประธานาธิบดีสหรัฐฯ) กับ สี จิ้นผิง (ประธานาธิบดีจีน) ณ เมืองปูซาน (Busan) ประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก 2025 (27 ต.ค.–1 พ.ย. 2568) ได้ข้อสรุปสาระสำคัญของข้อตกลง ได้แก่ สหรัฐฯ จะลดอัตราภาษีรวมของสินค้านำเข้าจากจีน จากประมาณ 57% เหลือ 47% โดยเฉพาะภาษีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่เชื่อมโยงกับสารตั้งต้นของยาฟีนทานิล (fentanyl precursor chemicals) จะลดจาก 20% เหลือ 10%
ขณะที่จีนยอมผ่อนคลายการควบคุมการส่งออกโลหะจากแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ / rare earths) เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี และจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะถั่วเหลือง เพื่อแลกเปลี่ยน
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การที่สหรัฐลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของจีนในไทยหรือไม่นั้น ทั้งนี้หากพิจารณาจากอัตราภาษีที่สหรัฐอเมริกาเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จากเฉลี่ยที่ 57% ลงเหลือเฉลี่ยที่ 47% ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจากเดิมไม่มาก (ลดลง 10%) มองว่าจีนยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในไทยเพื่อกระจายความเสี่ยง (ไทยส่งออกไปสหรัฐเสียภาษีเพิ่ม 19%) ควบคู่กับการส่งเสริมการลงทุนผลิตสินค้าในประเทศต่อไป
"การเปลี่ยนแปลงภาษีของสหรัฐที่มีต่อจีน อาจทำให้จีนลดการลงทุนในไทยลงในปีหน้า แต่ก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีจุดเด่นคือการเข้า–ออกที่ง่าย และที่สำคัญคือ ภาษีนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนเป็นศูนย์ตามข้อตกลงเอฟทีเอ จึงมีโอกาสที่จีนจะใช้ไทยเป็นหนึ่งในซัพพลายเชนของเขา"
ขณะที่ข้อมูลจากบีโอไอ ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 การขอรับการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) มีมูลค่ารวม 985,337 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 82% ในจำนวนนี้จีนเป็นนักลงทุนอันดับ 3 ที่มาขอรับการส่งเสริมการลงทุน โดยมีมูลค่าการขอรับการส่งเสริม 142,887 ล้านบาท (อันดับ 1 และ 2 คือ สิงคโปร์ และฮ่องกง)
อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ที่จีนขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมโลหะและวัสดุ อุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแพทย์ เป็นต้น
นายธนากร กล่าวอีกว่า ในปี 2568 คาดว่าการส่งออกของไทยในภาพรวมจะขยายตัวได้ประมาณ 10% แต่การส่งออกที่แท้จริงคาดว่าไม่น่าเกิน 5% เพราะมีสินค้าจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ์ไทยส่งออก (Transshipment) ซึ่งจะถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐ และจะกำหนดสัดส่วนถิ่นกำเนิดสินค้า (Local Content) ให้ไทยปฏิบัติ ภายใต้อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐเรียกเก็บจากไทยที่ 19%
“การส่งออกของไทยในปีหน้าอาจจะดรอปลงจากปีนี้เยอะมาก ถ้าหากจีนและสหรัฐฯ สามารถตกลงเรื่องอัตราภาษีได้ดีจริง และอัตราภาษีจีนไปสหรัฐฯ ไม่สูงเกินไป จีนก็มีโอกาสกลับไปส่งออกโดยตรงได้เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม ถ้าอัตราภาษีระหว่างจีนกับประเทศอาเซียนยังต่างกันมาก วิธีการส่งผ่านทางอาเซียนก็จะยังคงอยู่ ตราบใดที่หน่วยงานรัฐบาลของอาเซียนไม่เข้มแข็งจริงและยอมให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ตัวเลขส่งออกก็อาจยังสูงอยู่ แต่ Productivity ของเราจะไม่เยอะ สุดท้ายแล้ว ตัวเลขส่งออกที่สูงนี้ก็จะไม่ช่วยประเทศจริง ๆ” นายธนากร กล่าว
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568

