เอกชนจี้รัฐสร้างคน AI-ดิจิทัล รับคลื่นลงทุนยุคใหม่ เพิ่มสัดส่วนต่อจีดีพีแข่งเวียดนาม
KEY POINTS :
* ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI และดิจิทัล เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมยุคใหม่
* การพัฒนาคนเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพีของไทยที่ลดลงจาก 40% เหลือเพียง 20%
* ไทยจำเป็นต้องยกระดับทักษะแรงงานและปรับปรุงระบบการศึกษาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันดึงดูดการลงทุนแข่งกับเวียดนาม
ภาคการลงทุน ยังคงเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สร้างการจ้างงาน กระตุ้นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น

ข้อมูลล่าสุดจากบีโอไอชี้ว่าเม็ดเงินลงทุนทั้งจากต่างประเทศและภายในประเทศยังคงไหลเข้าสู่ไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งใหม่ของภูมิภาคอาเซียน
อย่างไรก็ดี เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาระบุว่า เศรษฐกิจไทยติด 4 กับดัก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกับดักการลงทุน ซึ่งในอดีตการลงทุนคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของจีดีพี แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 20% ของจีดีพี
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในอดีตไทยเคยมี “ยุคทองของการลงทุน” จากปัจจัยภายนอกและภายในที่เสริมกัน โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 2530–2540 มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า “ยุคโชติช่วงชัชวาล”
ช่วงเวลานั้นมีปัจจัยสำคัญที่หนุนให้เกิดคลื่นการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น การค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งทำให้ไทยมีพลังงานต้นทุนต่ำและสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเหล็กได้อย่างรวดเร็ว และมีการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก หรือ Eastern Seaboard บวกกับข้อตกลง Plaza Accord เมื่อปี 2528 ได้ทำให้ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมายังไทยและประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน รวมถึงกระแส Globalization ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายลงทุนครั้งใหญ่ ทั้งจากสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียเพื่อตั้งฐานการผลิตใหม่
ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและการลงทุนครั้งใหญ่ จากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ ๆ และแรงกดดันด้านความยั่งยืน ทำให้เป็น “โอกาสทอง” ของประเทศไทยอีกครั้ง ที่จะดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งไทยมีศักยภาพและความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน
โดยบีโอไอมองว่า หากไทยสามารถเชื่อมโยงโอกาสเหล่านี้ได้ทันเวลา ก็จะเกิด “ยุคโชติช่วงชัชวาล 4.0” ที่จะใช้การลงทุนเป็นตัวนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และยกระดับประเทศไทยไปสู่การเป็นผู้นำของภูมิภาคได้
ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า ที่ผ่านมาสัดส่วนมูลค่าการลงทุนในไทยต่อจีดีพีที่ลดลงจาก 40% มาอยู่ที่ 20% ต่อจีดีพี มีหลายสาเหตุ ได้แก่
1)อัตราการเพิ่มของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทยยังเพิ่มขึ้น แต่อัตราการเพิ่มของภาคส่วนอื่น ๆ ที่มีส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจเช่นกัน คือ ภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่า
2)ไทยขาดเสน่ห์ในการดึงเม็ดเงินลงทุน ทั้งด้านการตลาดที่ผลิตแล้วมีตลาดส่งออกที่มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) น้อยกว่าเวียดนาม มีแรงงานที่มีทักษะรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่น้อยกว่า รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่เปรียบเทียบกับเวียดนามแล้ว เขาได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก
3)ศักยภาพของคนไม่ตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยหลักสูตรและระบบการศึกษาไทยยังไม่ตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ต้องใช้เทคโนโลยี ซึ่งไทยยังปรับตัวไม่เท่าทันกับโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
4)ระบบราชการยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยระบบไทยยังยึดโยงกับระบบระเบียบมาก ทำให้คนเก่ง ๆ ไม่อยู่ในระบบราชการ หรืออยู่ก็มีจำนวนไม่มาก ขณะที่ระบบราชการไทยยังมีระบบเส้นสาย และตามนักการเมือง ทำให้ระบบราชการไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปรับตัวเข้ากับโลกยุคใหม่
“ทั้งหมดนี้คือปัจจัยหลัก ๆ ส่วนหนึ่งที่ทำให้สัดส่วนการลงทุนไทยต่อจีดีพีลดลงเหลือ 20% ซึ่งก็ไม่แปลก เมื่อเทียบกับเวียดนามที่มีวิทยาลัยอาชีวศึกษาในทุกเมือง และเวียดนามยังลดหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนเพื่อประหยัดงบประมาณและนำเงินไปสร้างคน ขณะที่ประเทศไทยพยายามสร้างและเพิ่มหน่วยงานขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ในการสร้างคนรองรับงานยุคใหม่นับจากนี้ มหาวิทยาลัย วิทยาลัยต้องทำให้นักศึกษาเรียนรู้ที่จะเป็นหัวหน้าของ AI รวมถึงทักษะภาษาอังกฤษ และด้านอื่น ๆ สำหรับรองรับงานยุคใหม่”
ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า ในเรื่องสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอที่ผ่านมา ยังเอื้อต่อการลงทุนของคนไทยและต่างชาติ (FDI) แต่ต้องปรับในบางเรื่องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขการลงทุนด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไทยยังมีมาก ซึ่งไทยยังมีเสน่ห์ในการลงทุน
“บีโอไออาจจะต้องมามองว่าอะไรที่มีคุณภาพมาก ๆ และตอบโจทย์อนาคตของประเทศ และสิทธิประโยชน์อะไรเหล่านี้ควรจะปรับเพื่อเป็นตัวชี้วัดนำไปสู่อนาคตของประเทศไทย ปัจจุบันนี้ อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาขอส่งเสริมการลงทุนสูงมาก โดยส่วนใหญ่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ปลายน้ำที่มีศักยภาพ และมีจำนวนแรงงานและการจ้างงานมากกว่า 1 ล้านคน”
ขณะที่นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับการลงทุนแห่งอนาคต ได้แก่ 1.การเร่งรัดจัดหาพลังงานสีเขียวหรือพลังงานสะอาด เพื่อรองรับกับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังย้ายฐานเข้ามา 2. เรื่องทรัพยากรมนุษย์ สิ่งสำคัญมากคือการ Upskill / Reskill ให้เกิดทักษะใหม่ ๆ หรือมีทักษะที่สูงขึ้น โดยเฉพาะทักษะด้านดิจิทัล และ AI
“อุตสาหกรรมที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามและลงทุนในไทย ณ ปัจจุบันส่วนใหญ่จะคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ในรายละเอียดจะแตกต่างกันตามความเหมาะสมและตามจุดแข็งของประเทศ เช่น เวลานี้ไทยมีจุดแข็งและจุดเด่นมากที่สุดในภูมิภาคนี้ทางด้าน PCB (Printed Circuit Board) ซึ่งตอนนี้มี 30-40 โรงงาน และในอนาคตจะเพิ่มขึ้นอีกมาก ส่วนเวียดนามจะเป็นพวกอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกาหลีย้ายฐานเข้าไปมาก”
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568

