"อินเดีย" ยกระดับไปอีกขั้น จาก "เอาต์ซอร์ซ" สู่ GCC โลก
แม้เศรษฐกิจทั่วโลกจะไม่สดใสอย่างมาก เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะการที่ "ระเบียบการค้าโลก" เปลี่ยนแปลงไปและเกิดความปั่นป่วนจากมาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลสหรัฐภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ จนทำให้สำนักใหญ่ ๆ ของโลกอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปี 2025 จะเติบโตเพียง 2.4-2.8% แต่ความโดดเด่นสวนทางเศรษฐกิจโลกกลับไปปรากฏอยู่ที่อินเดีย ประเทศซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลก ที่ถูกประเมินว่าจะเติบโตราว 6.4% ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปครั้งใหญ่
การปฏิรูปยังทำให้ “อินเดีย” โดดเด่นในฐานะประเทศที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลาง “ผู้มีความสามารถ” ระดับโลก (GCC : Global Capability Center) จากที่เคยเป็นเพียง “สำนักงานหลังบ้าน” หรือเอาต์ซอร์ซให้กับบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก
ซีเอ็นบีซีรายงานโดยอ้างข้อมูลของอันชูมัน แมกาซีน หัวหน้าของ CBRE ประจำอินเดีย บริษัทให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เขาผู้นี้ เปิดเผยว่าปัจจุบันความต้องการพื้นที่ “สำนักงาน” ในอินเดียพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 3 ของปี อันเนื่องมาจากบริษัทต่าง ๆ ต้องการพื้นที่ไปจัดตั้ง GCC โดย GCC คิดเป็นสัดส่วนถึง 38% ของความต้องการพื้นที่สำนักงานทั้งหมด
GCC เป็นบริษัทลูกของบริษัทข้ามชาติที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้บริการต่าง ๆ เช่น ไอที การตลาดหรือวิจัยและพัฒนาสำหรับบริษัทแม่ ซึ่งจะแตกต่างจากบริษัทเอาต์ซอร์ซทั่วไป ตรงที่ GCC จะถือหุ้น 100% โดยบริษัทแม่ ศูนย์เหล่านี้จะถูกตั้งขึ้นในประเทศต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงแหล่งบุคลากรที่มีความสามารถพิเศษทั่วโลก
อันชูมันกล่าวว่า ความต้องการ GCC จะยังมีต่อไป โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ CBRE ได้ช่วยลูกค้าที่ล้วนแต่เป็นบริษัทอเมริกันจัดตั้งศูนย์ GCC ในอินเดีย เช่น แวนการ์ด บริษัทบริหารจัดการกองทุนรวมใหญ่ที่สุดในโลกจัดตั้ง GCC ที่เมืองไฮเดอราบาด โดยจะมีเวนคาเทช นาทาราจัน ซึ่งเคยทำงานในสหรัฐมาเกือบ 30 ปี ทั้งในวอลมาร์ต Lowe’s บริษัทค้าปลีกด้านการปรับปรุง ในสหรัฐ มาเป็นผู้นำสูงสุด
รูปแบบแต่เดิมของ GCC นั้น เป็นที่รู้จักในนาม “ออฟฟิศระยะไกล” ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง บริการด้านไอทีสำหรับบริษัทระดับโลก จุดประสงค์หลักก็เพื่อลดต้นทุน แต่ปัจจุบัน “สำนักงานหลังบ้าน” เหล่านี้กำลังเปลี่ยนโฉม ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่สนับสนุนอีกต่อไป แต่เพิ่มบทบาทมาทำหน้าที่วิศวกรรมผลิตภัณฑ์ พัฒนาโมเดล AI และกลยุทธ์ด้านออโตเมชั่น ตลอดจนร่วมเป็นเจ้าของนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญา
นิเทช บันซาล กรรมการผู้จัดการ R Systems บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ GCC ในสหรัฐ ระบุว่า ความแตกต่างสำคัญระหว่างบริษัท “สำนักงานหลังบ้าน” และ GCC ก็คือความเป็นเจ้าของ ทั้งนี้เมื่อบริษัทต่าง ๆ ย้ายปฏิบัติการด้านการวิจัยและพัฒนาหรือวิศวกรรมไปที่อินเดีย พวกเขาจะมองหาและว่าจ้างผู้บริหารที่มีความน่าเชื่อถือและรับผิดชอบสูงมากมาบริหาร
นาวีน กัตตู หัวหน้าบริษัท Straive ซึ่งให้บริการคำปรึกษาด้าน GCC กล่าวว่า คุณสมบัติของผู้มีความสามารถสำหรับ GCC กำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อ 5 ปีก่อน การจ้างผู้บริหารสำหรับ GCC ส่วนใหญ่เป็นงานด้านวิศวกรรม การวิเคราะห์และปฏิบัติการ แต่ปัจจุบันชัดเจนว่ากำลังหันทิศไปเป็นบทบาท ทั้งด้านการเป็นผู้บริหารระดับสูงและผู้กำหนดกลยุทธ์ “ควบคู่” กัน ในตอนนี้กำลังมีการจ้างระดับรองประธานและแม้แต่หัวหน้าฝ่ายระดับโลกซึ่งจะประจำการถาวรในอินเดียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ANSR บริษัทให้คำปรึกษา GCC อีกแห่งหนึ่ง กล่าวว่า GCC ได้วิวัฒนาการจากศูนย์ “นำส่ง” ไปเป็นศูนย์ “ความเป็นผู้นำ” ซึ่งจะกำหนดกลยุทธ์ของบริษัทต่าง ๆ ระดับผู้นำของ GCC บางส่วน ได้กลายเป็นผู้บริหารสูงสุดระดับโลกของบริษัทต่าง ๆ โดยมีฐานปฏิบัติงานในอินเดีย
ปัจจุบันอินเดียมีศูนย์ GCC มากกว่า 1,800 แห่ง คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งโลก โดยทุก 2 สัปดาห์ จะมี GCC จัดตั้งขึ้นใหม่ 3 แห่ง ขณะที่ 60% ของ GCC เหล่านี้มีแผนจะขยายออกไปอีก
ANSR ชี้ว่าทุกวันนี้ GCC ทำหน้าที่บริหารจัดการด้านต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อการตัดสินใจ รายได้และประสบการณ์ผู้บริโภค การจะบริหารสิ่งที่ซับซ้อนเหล่านี้ บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องมีผู้นำที่สามารถคิด “ในระดับโลก” และสามารถลงมือปฏิบัติแบบ “ท้องถิ่น” และ “บุคลากรอินเดีย” ที่มีความสามารถก็เหมาะกับงานนั้น
สมาพันธ์อุตสาหกรรมอินเดีย ระบุว่า แต่เดิม GCC ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อลดต้นทุนบริษัท แต่ได้กลายโฉมเป็น “ศูนย์กลยุทธ์” อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยผลักดันนวัตกรรม เปลี่ยนโฉมดิจิทัลและเพิ่มคล่องตัวให้กับบริษัทต่าง ๆ โดยปัจจุบัน GCC สร้างมูลค่าเศรษฐกิจประมาณ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.8% ของจีดีพีอินเดีย และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GCC ในอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็คือ อินเดียเป็น “บ่อ” ของคนมีความสามารถที่ลึก มีระบบนิเวศที่พัฒนาแล้วอย่างดี มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ สามารถขับเคลื่อนงานสำคัญจนส่งผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจ
โครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อของอินเดียนั้นแข็งแกร่งทั้งด้านกายภาพและดิจิทัล เช่น ในด้านบุคลากร อินเดียมีผู้จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ มากกว่า 2.1 ล้านคนต่อปี คิดเป็นประมาณ 31% ของทั้งโลก นอกจากนี้ประชากรหญิงราว 35% ทำงานใน GCC โดยในจำนวนนี้ 89% เป็นบุคลากรที่เก่งด้านไอทีและพูดภาษาอังกฤษได้ อายุเฉลี่ยของพวกเธอคือ 28 ปี
นอกจากนี้ค่าจ้างบุคลากรที่มีความสามารถเหล่านี้ถูกกว่าสหรัฐ สหราชอาณาจักรและออสเตรเลียประมาณ 30-50% จึงเป็นแหล่งดึงดูดที่น่าสนใจ
จนถึงขณะนี้อินเดียมีการจ้างมืออาชีพสำหรับ GCC ราว 2.16 ล้านคน เติบโตเฉลี่ย 11% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และก่อให้เกิดการจ้างงานทางอ้อมให้กับบรรดาพันธมิตรที่อยู่ในระบบนิเวศของ GCC เช่น โทรคมนาคม ทำให้โดยรวมคาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งระบบนิเวศประมาณ 10.4 ล้านคน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568

