เจาะลึกแนวทางจีน การพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคธุรกิจ
ในปัจจุบันการดำเนินธุรกิจไม่สามารถเพียงแค่คำนึงถึงการแสวงหากำไรแต่เพียงเท่านั้น แต่จำเป็นต้องตระหนักถึงหลักการความยั่งยืนที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภาคธุรกิจของจีนเองก็ได้ผนวกมาตรฐานนี้เข้าไปการดำเนินงานของตน และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจและสามารถนำมาเป็นแนวทางสำหรับภาคธุรกิจของไทยได้
DETERMINANT :
แบรนด์เสื้อเชิ้ตผู้ชายสัญชาติจีนรายนี้ยึดมั่นในกลยุทธ์ 360BETTER โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างอนาคตที่ปราศจากขยะและผลักดันอุตสาหกรรมแฟชั่นให้ตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม มลพิษทางอุตสาหกรรมของโลกมากถึง 20% นั้นมาจากกระบวนการย้อมผ้า ทว่า ทางแบรนด์ได้ใช้เทคโนโลยีการย้อมผ้าด้วยสารละลายที่สามารถนำมารีไซเคิลใหม่ ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย ทั้งยังไม่ใช้น้ำแทนการย้อมแบบดั้งเดิม
ซึ่งสามารถประหยัดน้ำได้สูงสุดถึง 40 ลิตรต่อเสื้อหนึ่งตัว เพื่อผลักดันความยั่งยืนอย่างจริงจัง DETERMINANT ได้จับมือกับ A Drop of Life องค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งเน้นการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและการส่งมอบน้ำสะอาดให้กับผู้ที่ขาดแคลน ในการสนับสนุนโครงการการกุศล Shop For Water โดยทางแบรนด์เป็นผู้ผลิตเสื้อยืด A Drop of Life Special Edition และรายได้จากการจำหน่าย 5% จะถูกบริจาคให้กับองค์กรด้วย
เหม่ยถวน (Meituan) :
ซูปเปอร์แอพรายใหญ่ของจีนที่ให้บริการอย่างครบวงจรตั้งแต่การสั่งอาหารและเครื่องดื่ม การจองตั๋วเดินทาง ไปจนถึงบริการความงาม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเชิงนิเวศและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภายใต้โครงการ Green Mountain Initiative ร่วมกับแบรนด์เครื่องดื่ม 27 ร้านค้าและหุ้นส่วนในห่วงโซ่อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เปิดตัวโครงการสิ่งแวดล้อม CupCycle+ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดขยะบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ต้นทาง ส่งเสริมการออกแบบแก้วที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงการคัดแยกและรีไซเคิลแก้ว และเพิ่มการนำวัสดุที่เก็บรวบรวมได้กลับมาใช้อย่างคุ้มค่า
มีการติดตั้งเครื่องรีไซเคิลมากกว่า 30,000 เครื่อง ผู้บริโภคสามารถลอกฉลากออกจากแก้วเครื่องดื่มและนำมาใส่ลงในเครื่อง โดยสามารถรับของขวัญการประพฤติเพื่อสาธารณประโยชน์ พร้อมใบประกาศนียบัตรการกุศลอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเดือนสิงหาคม มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการมากกว่า 200,000 คน และมีส่วนช่วยรีไซเคิลแก้วเครื่องดื่มได้ประมาณ 10 ตัน
สำหรับการจัดการขยะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของก๊าซมีเทน ก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า เหม่ยถวนส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขายอาหารที่เป็นเมนูและชุดอาหารขนาดเล็ก รวมถึงชุดอาหารสำหรับหนึ่งคนมากขึ้น ตามยอดเมื่อเดือนสิงหาคม เจ้าของธุรกิจร้านอาหารกว่า 1.73 ล้านรายได้นำอาหารจานเล็กเข้ามาในเมนูกว่า 8.81 ล้านรายการ
อีกทั้ง เหม่ยถวนยังมีตัวเลือกให้แก่ผู้ต้องการจองที่พักแบบคาร์บอนต่ำ ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้โรงแรมจัดเตรียมสิ่งของแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งหรือไม่ ซึ่งหากตอบรับผู้ใช้งานจะได้รับพอยต์สะสม 200 คะแนน รวมถึงพอยต์ในบัญชีคาร์บอนในแอพด้วย นอกจากจะเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 203.2 กรัมแล้วนั้น พอยต์นี้ยังสามารถใช้เพื่อการบริจาคการสร้างสนามเด็กเล่นในชนบทได้อีกด้วย
เทนเซ็นต์ (Tencent) :
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารที่เป็นเจ้าของ Wechat หรือเวยซิ่น มุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์อย่างแข็งขัน โดยได้จัดทำโครงการ CarbonX 2.0 พร้อมให้การสนับสนุนการนำเทคโนโลยีเพื่อลดคาร์บอนด้วยการดักจับคาร์บอน การกักเก็บคาร์บอน (CCUS) และระบบกักเก็บพลังงานระยะยาวเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านหยวน พร้อมกันนี้ เทนเซ็นต์สนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีดูดซับคาร์บอน พัฒนาวิธีการลดการปล่อยคาร์บอนจากแหล่งหญ้าทะเล รวมถึงข้าวที่ประหยัดน้ำและทนต่อความแล้ง
เทนเซ็นต์ยังได้ดำเนินนโยบายการจัดการของเสียเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยได้รีไซเคิลอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวน 4,380.8 ตัน ฮาร์ดดิสก์และอุปกรณ์มือถือจำนวน 649 ตัน จนทำให้ศูนย์ข้อมูลประจำเทียนจิน ปินไห่ ได้รับประกาศนียบัตร TRUE zero-waste ด้วย
ในสถานที่ทำงาน
องค์กรนี้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านพลังงานและทรัพยากรตลอดกระบวนการออกแบบ ก่อสร้างและดำเนินงานของอาคารสำนักงาน โดยที่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของเทนเซ็นต์ที่เมืองเซินเจิ้น มีการผนวกแผนงานการจัดการพลังงานและการลดคาร์บอน การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานด้วยปั๊มความร้อนแบบใช้อากาศ
นอกจากนั้น มีการดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานหลายรูปแบบ ตลอดจนส่งเสริมการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ในปี 2024 สำนักงานประหยัดไฟฟ้าได้รวม 5,754.3 เมกะวัตต์ชั่วโมง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 3,281.7 ตัน
ผลิตภัณฑ์ เวยซิ่นเพย์ (Weixin Pay) ของเทนเซ็นต์เองก็ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน การชำระเงินผ่าน QR code ในการจ่ายค่าอาหารและขนส่งสาธารณะช่วยลดการผลิตขยะจากกระดาษ รวมถึงเป็นการส่งเสริมการเดินทางสีเขียวอีกด้วย
Baosteel :
บริษัทเหล็กรายใหญ่ของจีนเป็นหนึ่งใน 20% ของบริษัทที่บรรลุระดับภาวะผู้นำ A- ในแบบสอบถาม CDP Climate Change ปี 2023 โดยได้ลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และมีการจัดตั้งณะกรรมการกลยุทธ์ ความเสี่ยง และ ESG (Environmental, Social and Governance) นำโดยประธานคณะกรรมการบริษัทเพื่อให้แนวทางในการบริหารความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้มีการทำวิจัยเพื่อศึกษาหากลยุทธ์ระยะยาว พร้อมกับทบทวนปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิกาศอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี
ในการผลิตเหล็กที่มีคาร์บอนต่ำและเป็นศูนย์ Baosteel ได้นำ HyCROF เตาหลอมแบบใช้ไฮโดรเจน และเตาหลอมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงมาใช้ในกระบวนผลิต ประกอบกับมีการใช้พลังงานสีเขียวและรีไซเคิลเศษเหล็ก และเมื่อปี 2022 ทางบริษัทเปิดตัว BeyondECO แบรนด์คาร์บอนเหล็กต่ำด้วยการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ลง 30-80% อนึ่ง มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) เรื่องความร่วมมือห่วงโซ่อุปทานคาร์บอนต่ำกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำเพื่อจัดส่งเหล็กสีเขียวคาร์บอนต่ำด้วย
สำหรับการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ Baosteel ดำเนินการประเมินเชิงปริมาณที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยอ้างอิง WWF Risk Filter ในพื้นที่ปฏิบัติการ สภาพแวดล้อมในบริเวณใกล้เคียงและลุ่มน้ำทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ในยุทธศาสตร์ระยะสั้น มีการจัดทำแผนลดความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ความเสี่ยงสูง รวมทั้งชดเชยทรัพยากรชีวภาพและสภาพแวดล้อมทางน้ำ ในส่วนของยุทธศาสตร์ระยะยาว องค์กรรับรองว่าพื้นที่ปฏิบัติการจะอยู่ห่างจากพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความเปราะบาง และกำหนดให้คู่ค้าและห่วงโซ่ขนส่งหลีกเลี่ยงพื้นที่เหล่านี้ด้วย
POWERCHINA :
องค์กรนี้เป็นผู้ประกอบการธุรกิจการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและชลประทานรายใหญ่ที่สุดในโลก และมีบทบาทสำคัญต่อข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ของจีน ดำเนินการในพื้นที่มากกว่า 130 ประเทศ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Sustainable Fitch จัดอันดับ ESG ให้ POWERCHINA อยู่ที่นิติบุคคลระดับ 2 พร้อมให้ 63 คะแนน สะท้อนให้ว่าองค์กรนี้มีการบูรณาการด้าน ESG เข้ากับการดำเนินการธุรกิจได้เป็นอย่างดี
ใน 11 ประเทศสมาชิกอาเซียน
POWERCHINA ได้ดำเนินโครงการพลังงานสีเขียวขนาดใหญ่และขนาดกลางมากกว่า 200 โครงการ ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม โดยมีกำลังการผลิตรวมของโครงการก่อสร้างมากกว่า 8,000 เมกะวัตต์ รวมถึงส่งเสริมการนำวัตถุดิบสีเขียว เช่น ทรายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาใช้ในการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ระหว่างการก่อสร้าง พื้นที่ก่อสร้างถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้สภาพแวดล้อมอื่นๆ เกิดความเสียหาย ตลอดจนมีการบูรณะพืชพรรณอีกด้วย
นายจาง เชียง ผู้จัดการการตลาดพื้นที่เอเชียแปซิฟิกของ POWERCHINA สำนักงานใหญ่ กรุงปักกิ่ง ให้สัมภาษณ์ว่า หนึ่งในวิธีแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมคือการพัฒนาพลังงานที่มีคาร์บอนต่ำ พลังงานสะอาด และการพัฒนาพลังงานสีเขียว อาทิ พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงพลังงานลม เพราะจะช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาฟอสซิลด้วย
ที่สำคัญ การพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาดจะยังช่วยผลักดันการพัฒนาในภาคอื่นๆ เช่น การก่อสร้างอาคารสีเขียว อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการขนส่งที่ยั่งยืนอย่างการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ
พร้อมกล่าวว่า POWERCHINA ได้ดำเนินการในตลาดไทยมากกว่า 30 ปี โดยมีโครงการพลังงานสีเขียวจำนวนมากในประเทศ รวมถึงโรงไฟฟ้า 400 แห่ง และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลมกว่า 20 โครงการ ในอนาคต ทางองค์กรหวังที่จะมีส่วนร่วมในการก่อสร้างพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนในประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป
กรณีศึกษาหลากหลายที่น่าสนใจของภาคธุรกิจจีน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบริหารจัดการธุรกิจยุคใหม่ ที่สามารถสร้างคุณค่าทั้งต่อองค์กร ระบบนิเวศ และสังคมไปพร้อมๆ กัน
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568

