ประเมินผลกระทบ จากข้อตกลงการค้าสหรัฐ-ไทย
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (Office of the United States Trade Representative : USTR) ได้เผยแพร่กรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน (Framework for an Agreement on Reciprocal Trade) ระหว่างสหรัฐและไทย
ซึ่งประกอบไปด้วยข้อตกลงด้านต่าง ๆ เช่น อัตราภาษีนำเข้า การค้า การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา แรงงาน สิ่งแวดล้อม ซึ่งหนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญในกรอบข้อตกลงดังกล่าว คือ ข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ ในการซื้อขายสินค้าในกลุ่มเกษตรกรรม พลังงาน และการบิน ซึ่งสามารถประเมินผลกระทบเบื้องต้น ได้ดังนี้
(1)การซื้อสินค้าเกษตรกรรม
ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และกากธัญพืชที่เหลือจากการผลิตเอทานอลด้วยข้าวโพด (Dried Distiller Grains with Solubles : DDGS) มูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ประเมินว่า หากไทยมีการจัดซื้อผลิตภัณฑ์เกษตร 3 สินค้าข้างต้นจากสหรัฐ จะส่งผลดีต่อต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์โดยรวมลดลง 157 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากไทยสามารถซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐในราคาที่ถูกลง
ทั้งนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีสัดส่วนการใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์มากที่สุดถึง 33% ของการผลิตอาหารปศุสัตว์ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการในภาคปศุสัตว์และผู้ผลิตอาหารสัตว์
อย่างไรก็ดี หากไทยเปลี่ยนมานำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์อย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และ DDGS ตามข้อตกลงของสหรัฐทั้งหมด จากเดิมที่นำเข้าจากเมียนมา หรือบราซิล อาจสร้างอุปทานส่วนเกินของมูลค่าผลผลิต 3 วัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศราว 477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองคาดจะได้รับผลกระทบไม่มาก
เนื่องจากไทยมีพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตในประเทศที่ไม่มากนัก และความต้องการใช้ถั่วเหลืองเกือบทั้งหมดต้องพึ่งพาการนำเข้าอยู่แล้ว ทั้งนี้ อุปทานส่วนเกินวัตถุดิบผลิตภัณฑ์เกษตร 3 สินค้าข้างต้น สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล หรือใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้
(2)การซื้อสินค้าพลังงาน
ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) น้ำมันดิบ และอีเทน มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี หากพิจารณาสัญญาซื้อก๊าซ LNG เพิ่มเติม 1 ล้านตัน/ปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่านำเข้าทั้งหมด 1.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเมินว่า สัดส่วนปริมาณการนำเข้าก๊าซ LNG จากสหรัฐของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 17.6% ในปี 2568 เป็น 26.7% ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติของไทยลดลงราว 0.2%
ซึ่งช่วยลดต้นทุนก๊าซธรรมชาติของไทยทั้งหมดราว 835 ล้านบาท/ปี ส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบ มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐของไทยคาดจะเพิ่มขึ้นจาก 3.52 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 เป็น 4.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 4.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568-2569 ตามลำดับ
ซึ่งเพียงพอตามเงื่อนไขในส่วนของข้อตกลงการซื้อสินค้าพลังงานในข้อตกลงทางค้าระหว่างสหรัฐและไทย สุดท้าย การนำเข้าอีเทน ประเมินว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตราว 30% เมื่อเทียบกับต้นทุนแนฟทา ซึ่งอาจทำให้ Spread ของเม็ดพลาสติก PE เพิ่มขึ้นราว 200-250 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
3.การซื้อเครื่องบินจากสหรัฐ จำนวน 80 ลำ มูลค่ารวม 18.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ข้อตกลงการซื้อเครื่องบินจากสหรัฐอาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการส่งมอบเครื่องบินให้กับไทยมากขึ้นในภาวะการขาดแคลนเครื่องบินพาณิชย์ จากข้อมูลของ McKinsey & Company พบว่า ในช่วงปี 2566-2567 ความต้องการเดินทางทางอากาศของโลก สะท้อนจาก Revenue Passenger Kilometer (RPK) ที่ปรับสูงขึ้นกว่า 10% และคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 4.2% จนถึงปี 2573
อย่างไรก็ดี การผลิตและจัดส่งเครื่องบินกลับลดลง สะท้อนได้จากการขาดแคลนเครื่องบินที่สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) PWC และ McKinsey & Company ประเมินว่าทั่วโลกมีการขาดแคลนเครื่องบินถึง 5,352 ลำ 4,500 ลำ และ 2,000 ลำ ตามลำดับ
นอกจากนี้ อาจรวมถึงการเจรจาเพื่อเพิ่มเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์กับทางไทยด้วย เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี การร่วมเป็นพันธมิตรในการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair Overhaul : MRO) รวมถึงการพัฒนาด้านอื่น ๆ ที่จะสนับสนุนให้ไทยก้าวสู่เป้าหมาย Aviation Hub ของภูมิภาค
อย่างไรก็ดี การเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและไทยยังคงมีการดำเนินการอยู่ต่อไป และยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568

