ซาอุฯ-ยูเออี-กาตาร์ กับความฝัน "ฮับเอไอ" โลก
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ เป็นหนึ่งใน "แนวโน้มใหญ่" ของโลก ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงและกระทบต่อหลายมิติของมนุษย์ ทั้งการดำเนินชีวิตประจำวัน การทำธุรกิจ และอื่น ๆ อีกมากมาย จะเห็นได้ว่าบริษัทที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ล้วนมีการเติบโตและมั่งคั่ง บริษัทที่ผลิตชิปเกี่ยวกับเอไอ เช่น Nvidia ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีผู้ออกมาเตือนว่าระวังจะเกิด “ฟองสบู่” เอไอ
ดังนั้น ใครก็ตามที่มีเงินมาก สิ่งที่พวกเขาอยากลงทุนก็คือ เอไอ แนวคิดนี้ไม่เว้นแม้แต่ประเทศรอบอ่าว (Gulf Countries) ในตะวันออกกลางที่มั่งคั่งร่ำรวยจากการขายน้ำมัน โดยเฉพาะ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ ที่กำลังพยายามจะเป็น “ศูนย์กลางเอไอ” โลกแห่งต่อไป
ซีเอ็นบีซีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ประเทศเหล่านี้ใช้เงินสดที่มีอยู่มากมายลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจ็กต์ อย่างเช่น สมาร์ทซิตี้ ที่ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีและเป็นเมืองในฝันราวกับนวนิยายวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการสร้างศูนย์กลางบันเทิง กีฬา และวัฒนธรรมระดับโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำเป็นเวลานาน ทำให้บรรดาผู้นำประเทศเหล่านี้มองหาหนทางที่จะนำไปลงทุนอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์
ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และกาตาร์ กำลังลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ในโครงการ “ดาต้าเซ็นเตอร์” โดยร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งในจำนวนนี้มีไมโครซอฟท์และ OpenAI อยู่ด้วย และกำลังพยายามซื้อชิปจำนวนมากจาก Nvidia และ AMD เพื่อขับเคลื่อนความทะเยอทะยานที่จะเป็น “ศูนย์กลางเอไอ”
หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ไปเยือนซาอุดีอาระเบีย ยูเออี และกาตาร์ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณว่าจะผ่อนคลายการส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ระดับสูง หลังจากได้เข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้ชิปเหล่านี้ไปถึงมือจีนผ่านพันธมิตร
การที่ประเทศเหล่านี้มีเงินล้นเหลือ ทำให้แม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ที่บรรดาผู้บริหารเคยปฏิเสธที่จะทำธุรกิจกับประเทศเหล่านี้ เพราะมีประวัติย่ำแย่เรื่องสิทธิมนุษยชน ก็ไม่สามารถต้านแรงดึงดูดของเงินได้
ผู้บริหารของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐ ยังชื่นชอบกฎระเบียบที่ไม่ยุ่งยากของประเทศรอบอ่าวดังกล่าว ซึ่งผู้ปกครองประเทศสามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว ต่างจากประเทศตะวันตกที่มีขั้นตอนและระเบียบราชการ
นักวิเคราะห์ชี้ว่า อย่างไรก็ตาม มีอุปสรรคและความท้าทายบางอย่างในการบรรลุเป้าหมาย เพราะประเทศเหล่านี้มีเศรษฐกิจค่อนข้างใหม่ และไม่มี “ฐานบุคลากร” ที่มีความสามารถด้านเอไอเหมือนสหรัฐหรือจีน ดังนั้นเป็นเรื่องซีเรียสที่ประเทศเหล่านี้ต้องตามให้ทันในประเด็นของการสร้างกลุ่มคนที่มีความสามารถของตัวเอง รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
ปัญหาหลักอีกอย่างก็คือ การเข้าถึงชิประดับสูงอย่าง GPU (Graphics Processing Units) และ NPU (Neural Processing Units) ที่มีความไม่แน่นอน อันเนื่องมาจากการควบคุมส่งออกซึ่งจะนำไปสู่การขาดแคลนผลิตภัณฑ์ได้ ลักษณะนี้เป็นความเสี่ยงของประเทศที่ไม่สามารถผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ได้เอง
ส่วนเรื่องกฎระเบียบและความมีเสถียรภาพด้าน “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่ประเทศเหล่านี้นำมาเป็นจุดแข็งเพื่อโน้มน้าวนักลงทุนนั้น ก็ไม่มีความแน่นอนแล้ว เพราะเดือนกันยายน โดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ ถูกอิสราเอลโจมตีด้วยจรวดแบบไม่คาดฝัน อ้างว่าปราบกลุ่มฮามาส ดังนั้นความขัดแย้งในภูมิภาคจะยังคงเป็นข้อกังวลของนักลงทุนตราบเท่าที่อิสราเอลและฮามาสยังทำสงครามกัน
ความท้าทายอีกประการหนึ่งก็คือ การต้องสร้าง “ระบบนิเวศ” เอไอที่ต้องเริ่มจากศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ตอัพ หรือผู้รวมระบบ ตลอดจนจะทำอย่างไรที่จะดึงตัววิศวกรเอไอที่เก่งที่สุดไปทำงานที่นี่
หากพิจารณาอำนาจในการลงทุนของประเทศรอบอ่าวเพื่อจะเป็นแถวหน้าในการแข่งขันเทคโนโลยีเอไอ ก็จะพบว่าในส่วนของยูเออีนั้น จะเห็นว่าเมืองหลวงคืออาบูดาบี มีฐานะร่ำรวยที่สุดด้วยขนาด “กองทุนความมั่งคั่ง” ประมาณ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ และใช้เงินลงทุนไปกับเอไอมากเป็นพิเศษ พร้อมกันนั้น ไมโครซอฟท์มีแผนจะลงทุน 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์ ในยูเออี ระหว่างปี 2023-2029
ขณะเดียวกัน โครงการ Stargate ของยูเออี ซึ่งประกาศขึ้นหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ไปเยือน จะเป็นส่วนหนึ่งของ “ดาต้าเซ็นเตอร์” สำหรับเอไอใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดตั้งนอกสหรัฐอเมริกา และมีแผนจะซื้อชิปจาก Nvidia
ในส่วนของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงไปยังเซ็กเตอร์อื่น อย่างเทคโนโลยีและการผลิต แทนการพึ่งพารายได้จากปิโตรเลียมเป็นหลัก ก็มี Humain บริษัทเอไอระดับโลกเป็นตัวเด่น ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ (2025) เพื่อทำให้ซาอุฯเป็นศูนย์กลางเอไอของภูมิภาค โดยประกาศจะซื้อชิป 1.8 หมื่นชิ้นจาก Nvidia พร้อมกับเปิดเผยแผนที่จะลงทุนร่วมกับ AMD มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์
ซาอุฯมีเป้าหมายจะทำให้ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์เติบโตจาก 1.33 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 3.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 เทียบกับตลาดดังกล่าวในสหรัฐอเมริกา ที่ปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์
เมื่อหันมามองที่กาตาร์ ก็จะเห็นว่าไม่มีกองทุนมั่งคั่งสำหรับสนับสนุนเอไอเหมือนยูเออี หรือซาอุดีอาระเบีย แต่มีกลยุทธ์ที่ต่างออกไป นั่นคือกลยุทธ์ AI+X ซึ่งก็คือการผนึกรวมเอไอทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การจัดการปกครอง สุขภาพ และธุรกิจเข้าด้วยกัน โดยบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันขนาดใหญ่ ScaleAI กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลกาตาร์ เพื่อพัฒนา “ตัวแทน” หรือตัวกลางสำหรับเซ็กเตอร์ต่าง ๆ เหล่านี้
แม้จะมีอำนาจทางการเงิน แต่ตะวันออกกลางก็เผชิญปัญหาด้าน “กายภาพ” เช่น ต้นทุนและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในการทำธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ท่ามกลางสภาพภูมิประเทศที่เป็นทะเลทรายและอากาศร้อนจัด ซึ่งตามข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา Verisk Maplecroft ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดกลาง ต้องการน้ำวันละ 3 แสนแกลลอน เพื่อทำให้เครื่องจ่ายไฟฟ้าเย็นลง ทั้งนี้ อาบูดาบี ดูไบ ของยูเออี อิสตันบูลของตุรกี เป็นเมืองที่มีความเสี่ยงที่สุดที่จะ “ขาดแคลนน้ำ” ภายในปี 2030
นักวิเคราะห์เชื่อว่าด้วยเงินลงทุนจำนวนมาก เพียงพอที่จะทำให้ประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะยูเออี และซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นศูนย์กลางเอไอได้ แต่อุปสรรคสุดท้ายไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่ความสามารถในการ “ปฏิบัติ” ซึ่งจำเป็นต้องแสดงให้นักลงทุนเห็นว่ามีความสามารถในการสร้างบุคลากรด้านเอไอไว้รองรับ และรักษานักวิจัยระดับโลกเอาไว้ให้ได้
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 8 ธันวาคม 2568

